คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่าสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์กับลูกหนี้ในคดีเรื่องก่อน ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับสิ้นไป อันทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 คำให้การจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ ส. ลูกหนี้ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ในการชี้สองสถาน จำเลยยังแถลงรับว่า ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดก็เพราะโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้ ส. โดยจำเลยมิได้ยินยอม การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกทั้งที่โจทก์ได้ฟ้อง ส. และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ ดังนี้ คำแถลงรับของจำเลยประกอบคำให้การสู้คดี ทำให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้ประสงค์จะยกประเด็นข้อกฎหมายว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ อันทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 ขึ้นสู้คดี จำเลยจึงมิได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การเพียงแต่จำเลยสรุปไว้ท้ายคำให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดโดยหลักกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698,850,851,852 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จึงไม่ทำให้เกิดประเด็นข้อนี้
เมื่อถือว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 แล้วการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการนอกประเด็น คู่ความจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาไม่ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2511)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ที่นายเสนาะกู้ไปจากโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องนายเสนาะ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลผ่อนใช้เงินให้แก่โจทก์ โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์นายเสนาะแล้ว คงค้างเงินอีก 7,979.15 บาท โจทก์คิดเพียง 7,979 บาท ขอให้จำเลยชำระพร้อมดอกเบี้ย ฯลฯ

จำเลยให้การว่า โจทก์ผ่อนเวลาให้นายเสนาะโดยจำเลยมิได้ทราบยินยอมด้วย นอกจากนี้ได้ตกลงผ่อนเวลาให้นายเสนาะในชั้นศาลโดยทำสัญญาประนีประนอมกับนายเสนาะ โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วยจำเลยย่อมหลุดพ้น ฯลฯ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับนายเสนาะในคดีแดงที่ 7/2510 ของศาลจังหวัด ทำให้จำเลยหลุดพ้น พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า

สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับนายเสนาะไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้น ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญในประเด็น พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีสืบพยานต่อไป แล้วมีคำพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้พิจารณาโดยที่ประชุมใหม่แล้ว เห็นว่า คำให้การสู้คดีของจำเลยมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับนายเสนาะลูกหนี้ ทำให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับสิ้นไป อันทำให้จำเลยผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 คำให้การจำเลยกล่าวเพียงว่า สัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่นายเสนาะลูกหนี้ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 เท่านั้นยิ่งกว่านั้น ในการชี้สองสถาน จำเลยยังได้แถลงรับว่า ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ก็เพราะโจทก์ผ่อนเวลาให้นายเสนาะโดยจำเลยมิได้ยินยอม การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยอีกทั้งที่โจทก์ได้ฟ้องนายเสนาะและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเสร็จเด็ดขาดแล้ว ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ ศาลฎีกาเห็นว่าคำแถลงรับของจำเลยประกอบคำให้การสู้คดี ทำให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยมิได้ประสงค์จะยกประเด็นข้อกฎหมายว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ อันทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 ขึ้นต่อสู้คดี จำเลยจึงมิได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งในคำให้การ เพียงแต่จำเลยสรุปไว้ท้ายคำให้การว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดโดยหลักกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698, 850, 851, 852 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ฉะนั้น จึงไม่ทำให้เกิดประเด็นข้อนี้ เมื่อถือว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้เดิมระงับ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 698 แล้วการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์จึงเป็นการนอกประเด็นข้อต่อสู้ คู่ความจะยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาต่อมาไม่ได้ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย และเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามประเด็นแห่งคดี

พิพากษายืน

Share