คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2509โดยอ้างว่าจำเลยได้กลับมาบ้านเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2509 รุ่งขึ้นก็ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเช่นนี้ จำเลยจึงรู้ได้ว่าถูกฟ้องและมีการบังคับคดีแล้วแต่ไม่ได้ยื่นคำขอฯภายในกำหนด15 วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ทั้งคำขอของจำเลยก็มิได้กล่าวโดยละเอียดและชัดแจ้ง ซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลว่าไม่ถูกต้องประการใดคำขอของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้ และตามรูปคดีศาลก็ไม่จำต้องทำการไต่สวนคำขอของจำเลยต่อไป เพราะตามคำขอของจำเลยก็พอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว

ย่อยาว

ศาลพิพากษาโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง ต่อมาศาลได้ออกคำบังคับและปิดคำบังคับไว้ที่เรือนจำเลย แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย

จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นให้งดการไต่สวนแล้ววินิจฉัยสั่งให้ยกคำขอของจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยลงวันที่ 21ตุลาคม 2509 มีข้อความปรากฏว่าจำเลยกลับมาถึงจังหวัดนครราชสีมาในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2509 รุ่งขึ้นจำเลยก็ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยไว้ จำเลยจึงได้ทราบว่าถูกฟ้องและศาลพิพากษาคดีไปแล้ว อันแสดงว่าจำเลยได้รู้ว่าได้มีการบังคับคดีแล้วตั้งแต่วันที่ถูกยึดทรัพย์จำเลยจึงต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เสียภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยได้รู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ได้กำหนดไว้ และคำขอของจำเลยก็ปรากฏว่ามิได้กล่าวโดยละเอียดและชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่าคำวินิจฉัยของศาลที่ให้จำเลยแพ้คดีนั้นไม่ถูกต้องเป็นประการใดบ้าง ตามคำขอของจำเลยคงกล่าวแต่เพียงว่าที่ศาลพิจารณาพิพากษาไปแล้วยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย หากจำเลยได้มาต่อสู้โจทก์ก็ไม่มีทางชนะเท่านั้น หาเป็นข้อความที่เป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียดและชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคท้ายได้บัญญัติไว้ไม่คำขอของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้ และตามรูปคดีศาลชั้นต้นก็ไม่จำต้องทำการไต่สวนคำขอของจำเลยอีกต่อไปตามที่จำเลยได้ฎีกามาเพราะพฤติการณ์ตามคำขอของจำเลยก็พอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว ฉะนั้น ที่ศาลทั้งสองมีคำสั่งและพิพากษาให้ยกคำขอของจำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น และศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นอีกต่อไป

พากษายืน

Share