คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5135/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่ง ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่จำเลยมิได้กล่าวแก้ให้เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247
โจทก์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก)แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2533 จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดข้าวสารของโจทก์ 714 กระสอบ คิดเป็นเงินขณะนำยึด511,500 บาท ที่บ้านเลขที่ 67/1 ถนนวุฒากาศ แขวงตลาดพลูเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดโดยอ้างว่าข้าวสารเป็นของนางชื่นจิตต์ จิตติมานะสัจจะ จำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 16140/2532 ของศาลแพ่ง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาวันที่ 27 ธันวาคม 2533 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดข้าวสารที่ยึดได้ราคาเพียง 300,000 บาท ต่ำกว่าราคาขณะถูกยึดทำให้โจทก์ไม่สามารถขายข้าวสารได้ในราคาที่เป็นอยู่ในวันที่มีการยึดทรัพย์ซึ่งจะขายได้ไม่ต่ำกว่า 511,500 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน211,500 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยึดจนถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย17,064 บาท รวมเป็นเงิน 228,564 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 228,564 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 211,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดข้าวสารตามฟ้องนั้นเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 16140/2532 ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงรายพูนเจริญ โจทก์ นางชื่นจิตต์ จิตติมานะสัจจะ จำเลยข้าวสารที่ยึดไว้เป็นของนางชื่นจิตต์ จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหายการขายทอดตลาดข้าวสารที่ยึดไว้นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่คัดค้านราคาจึงไม่มีเหตุทำให้โจทก์เสียหาย การที่โจทก์ยื่นคำร้องให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังกล่าวแล้วฟ้องจำเลยอีกในประเด็นข้อพิพาทเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้อน การยึดข้าวสารและขายทอดตลาดเป็นการบังคับคดีเอาแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำให้โจทก์เสียหายและไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายและดอกเบี้ยฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่บรรยายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำการอันใดที่เป็นการผิดกฎหมายอันเป็นเหตุละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยนำยึดข้าวสารโดยเชื่อว่าข้าวสารดังกล่าวเป็นของนางชื่นจิตต์จิตติมานะสัจจะ ลูกหนี้ตามคำพิพากษา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยนำยึดข้าวสารโดยรู้อยู่ว่าข้าวสารดังกล่าวเป็นของโจทก์ ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยรับสำเนาอุทธรณ์โดยชอบแล้วมิได้แก้อุทธรณ์ดังนั้นในชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้วพิพากษายืนนั้น เห็นว่า ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่จำเลยมิได้กล่าวแก้ให้เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จึงเห็นสมควรให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับ (ที่ถูกคือยก)คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาแก่โจทก์

Share