คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2663/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถแล่นขึ้นล่องไปมาในท้องที่เกิดเหตุก่อนเกิดเหตุและขับรถตามหลังแล้วแซงขึ้นหน้ารถโดยสารคันที่ถูกปล้น เพื่อคอยช่วยเหลือจำเลยอื่นขณะทำการปล้นอยู่ในรถ ทั้งเพื่อคอยรับพาหลบหนีหลังจากการปล้นทรัพย์เสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด มิใช่เป็นตัวการร่วมปล้นทรัพย์ด้วยโดยการแบ่งหน้าที่กันทำ เพราะมิได้มาในรถโดยสารและร่วมปล้นด้วย
เมื่อจำเลยอื่นร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธด้วย
จำเลยที่ 1 ได้ใช้รถคอยช่วยเหลือพวกที่กำลังปล้นรถยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 กับพวกใช้ในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ศาลมีอำนาจสั่งริบ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง จำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี จำคุกคนละ 30 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 20 ปี ของกลางนอกจากฝาลูกกลม 3 ลูก ให้ริบ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก, 86 จำคุก 10 ปี โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ขับรถแล่นขึ้นล่องไปมาในท้องที่เกิดเหตุก่อนเกิดเหตุ และขับรถตามหลังแล้วแซงขึ้นหน้ารถโดยสารคันที่ถูกปล้น เห็นเจตนาว่าเพื่อคอยช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ขณะทำการปล้นอยู่ในรถ ทั้งเพื่อคอยรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 หลบหนีภายหลังจากการปล้นทรัพย์เสร็จสิ้นแล้ว เช่นนี้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แม้จำเลยที่ 1จะมีส่วนรู้เห็นในการปล้นทรัพย์รายนี้มาก่อนตามที่โจทก์ฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมปล้นทรัพย์รายนี้ด้วยโดยการแบ่งหน้าที่กันกระทำเพราะจำเลยที่ 1 มิได้มาในรถโดยสารและร่วมปล้นทรัพย์รายนี้ด้วยดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกามีความเห็นต่อไปว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ดังนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์โดยไม่มีอาวุธ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้คืนรถยนต์ของกลาง เห็นว่าเหตุปล้นทรัพย์รายนี้เกิดขึ้นในรถยนต์โดยสารประจำทางซึ่งพวกคนร้ายได้มาในรถ และขณะรถกำลังแล่นอยู่โดยที่ในขณะกำลังปล้นกันอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันของกลางตามหลังรถที่ถูกปล้น แล้วขับแซงรถขึ้นไปอยู่ข้างหน้า เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้รถของกลางคอยช่วยเหลือพวกที่กำลังปล้น รถยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 กับพวกใช้ในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ฎีกาโจทก์บางข้อฟังขึ้น ส่วนฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 86 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ข้อ 14 จำคุก 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share