คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เครื่องทำน้ำแข็งที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย ผู้ร้องเป็นแต่เพียงผู้ซื้อเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทแทนจำเลยผู้เป็นมารดาเนื่องจากจำเลยชรามากแล้ว ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของเครื่องทำน้ำแข็งพิพาท จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินยืมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเครื่องทำน้ำแข็งยูนิค จำนวน 2 เครื่อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เครื่องทำน้ำแข็งทั้งสองเครื่องที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า เครื่องทำน้ำแข็งทั้งสองเครื่องที่ยึดเป็นของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อช่วยเหลือจำเลยทั้งสองและเพื่อประวิงคดี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่ผู้ร้องและโจทก์นำสืบรับกันว่า ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อเครื่องทำน้ำแข็งที่พิพาทกันทั้งสองเครื่อง ปัญหาที่โต้เถียงกันคงมีว่าเครื่องทำน้ำแข็ง 2 เครื่องนี้เป็นของผู้ร้องหรือเป็นของจำเลยที่ 2ผู้ร้องอ้างว่า เครื่องทำน้ำแข็ง 2 เครื่องนี้เป็นของผู้ร้องและผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาควบคุมดูแลเครื่องทำน้ำแข็งโดยผู้ร้องจะมาเก็บผลประโยชน์หนึ่งเดือนหรือสองเดือนต่อครั้ง แต่ผู้ร้องก็มิได้กล่าวว่าได้รับผลประโยชน์จากเครื่องทำน้ำแข็งอย่างไรบ้าง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องและพยานผู้ร้องปากอื่น ๆ ก็มิได้เบิกความถึงผลประโยชน์ที่ผู้ร้องได้รับจากเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเลย ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเก็บผลประโยชน์จากเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทจากจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ได้ความจากนายชำนาญ สายสิทธิ์ พยานผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่ซึ่งเป็นที่เก็บเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขายน้ำแข็งเป็นประจำ ส่วนผู้ร้องไม่ค่อยมาและได้ความจากนายสุไลศิริวงศ์วิไลชาติ พยานผู้ร้องอีกปากหนึ่งว่า เมื่อพยานไปซ่อมเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทนั้นจำเลยที่ 2 เป็นผู้ให้การต้อนรับพยานและชี้แจงให้พยานทำการซ่อมทั้งพยานได้เห็นจำเลยที่ 2 ขายน้ำแข็งด้วย ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้เงินท้ายฟ้องในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้นั้น ก็ระบุชัดว่าจำเลยที่ 1 นำเครื่องทำน้ำแข็งพิพาททั้งสองเครื่องมาเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 1กู้เงินจากโจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1สำหรับหนี้เงินกู้รายนี้ด้วย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ร้องน่าจะมิใช่เจ้าของเครื่องทำน้ำแข็งพิพาท ตามเอกสาร จ.1 ซึ่งจำเลยทั้งสองทำไว้ให้โจทก์หลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีจำเลยทั้งสองแล้วนั้นจำเลยที่ 2ยอมรับว่าเครื่องทำน้ำแข็งพิพาททั้งสองเครื่องเป็นของจำเลยที่ 2แต่ผู้เดียว พยานโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าพยานผู้ร้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเครื่องทำน้ำแข็งพิพาททั้งสองเครื่องเป็นของจำเลยที่ 2ผู้ร้องเป็นแต่เพียงผู้ซื้อเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทแทนจำเลยที่ 2ผู้เป็นมารดาเนื่องจากจำเลยที่ 2 มีอายุถึง 73 ปีแล้ว ผู้ร้องหาใช่เจ้าของเครื่องทำน้ำแข็งพิพาทไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,600 บาท.

Share