คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้สั่งให้โจทก์เสียภาษีให้ถูกต้องเป็นการสั่งบังคับได้ตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 โดยไม่ต้องฟ้องจึงมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีอายุความสะดุดหยุดลงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีขาดอายุความซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระค่าภาษีแล้ว พิพากษากลับว่า คำสั่งประเมินภาษีของจำเลยไม่มีผลบังคับโจทก์ จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าสิทธิเรียกร้องค่าภาษีรายนี้ของจำเลยขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167 แล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องอายุความฟังเป็นยุติได้ว่า วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทโจทก์ คือวันที่ 31 ธันวาคม บริษัทโจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. 2504 พ.ศ. 2505 และ พ.ศ. 2506 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี พร้อมกับชำระภาษีเงินได้ต่ออำเภอ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 68, 69 โจทก์ได้ยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. 2504 พ.ศ. 2505 และ พ.ศ. 2506 ภายในกำหนดดังกล่าว และได้ชำระภาษีเงินได้ต่ออำเภอไว้แล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ตรวจสอบพบว่าบริษัทโจทก์เสียภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2506 ไว้ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และ มาตรา 20 ทำการประเมินภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2506 ของบริษัทโจทก์ใหม่ และได้แจ้งคำสั่งให้บริษัทโจทก์นำเงินค่าภาษีเงินได้รายพิพาทไปชำระเมื่อวันที่9 พฤศจิกายน 2508 โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัทโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระภาษีรายพิพาทซึ่งถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 30 พฤษภาคม 2505, วันที่ 30 พฤษภาคม 2506 และวันที่ 29 พฤษภาคม 2508 อายุความเริ่มนับแต่วันดังกล่าว ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีรายพิพาทแล้วสั่งให้บริษัทโจทก์นำไปชำระเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2508 ซึ่งอยู่ในระยะเวลา 10 ปี รูปเรื่องและข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันนี้ ศาลฎีกาเคยพิพากษาเป็นแบบอย่างไว้หลายคดีแล้วว่า เมื่อนับจากวันที่ภาษีอากรถึงกำหนดชำระแล้วจนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้นำค่าภาษีอากรไปชำระยังไม่เกิน 10 ปี สิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรย่อมไม่ขาดอายุความ ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 888/2519 คดีระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ซันวะโยโก โจทก์ กรมสรรพากร กับพวก จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 42/2521 คดีระหว่าง นายวรวิทย์ สุริยะมงคล โจทก์ นายศิริสันตะบุตร กับพวก จำเลย เป็นต้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ในคดีนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อนับจากวันที่หนี้ค่าภาษีเงินได้ของบริษัทโจทก์ถึงกำหนดชำระแล้ว จนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้บริษัทโจทก์นำค่าภาษีเงินได้ไปชำระยังไม่เกิน 10 ปี สิทธิเรียกร้องค่าภาษีเงินได้รายพิพาทจึงไม่ขาดอายุความ เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะอำนาจของเจ้าพนักงานประเมินในการประเมินภาษีอากรและสั่งให้ผู้ต้องเสียภาษีอากรนำเงินค่าภาษีอากรไปชำระตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรนั้น เป็นอำนาจพิเศษแตกต่างกับการทวงหนี้ของเจ้าหนี้ธรรมดาทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่า ถ้าผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรไม่นำเงินภาษีอากรตามที่แจ้งประเมินไปเสียภายในเวลาที่กำหนดไว้ ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรอาจถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดได้ โดยไม่ต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่งดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา 12 หรือแม้กรณีที่ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรได้ใช้สิทธิอุทธรณ์การประเมินการอุทธรณ์การประเมินก็ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 31 ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีอากรแล้วสั่งให้ผู้ต้องเสียภาษีอากรนำเงินภาษีอากรไปชำระตามประมวลรัษฎากร จึงหาใช่เป็นเพียงคำเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามนัยมาตรา 204แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันมีผลให้ลูกหนี้ผิดนัดเท่านั้นไม่ แต่เป็นการสั่งบังคับตามอำนาจกฎหมายเพื่อให้ลูกหนี้ใช้หนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้อง อันมีผลให้ลูกหนี้อาจต้องถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล การสั่งบังคับดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอื่นใดนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการที่เจ้าหนี้ฟ้องคดี เพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้องดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 173 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ทั้งนี้เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1560/2506 คดีระหว่างนายประมุข ปิยะสุวรรณ โจทก์ นายลัก อิงคนินันท์ จำเลย นายจำลองเทียนศรี ผู้ร้อง ศาลฎีกาจึงเห็นว่า อายุความภาษีเงินได้รายพิพาทได้สะดุดหยุดลงตั้งแต่เจ้าพนักงานประเมินสั่งบังคับให้บริษัทโจทก์นำเงินภาษีรายพิพาทไปชำระเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2508 ต่อแต่นั้นมาปรากฏว่าโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ และโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อเนื่องกันมาโดยคดีที่โจทก์ฟ้องนี้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลจึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดอยู่ตามนัยมาตรา 175 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิเรียกร้องภาษีเงินได้รายพิพาทจึงหาขาดอายุความไม่ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสิทธิเรียกร้องค่าภาษีเงินได้รายพิพาทขาดอายุความนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาจำเลยฟังขึ้น

แต่ประเด็นที่ว่าการประเมินภาษีเงินได้และเงินเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมินที่เรียกเก็บจากโจทก์ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อันเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดีนั้น ศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาด ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ ค่าฤชาธรรมเนียมสามศาลให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งในคำพิพากษาใหม่”

Share