แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมด้วยเฮโรอีน กัญชา และบ้องกัญชาเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดฯ พ.ศ.2465 มาตรา 20 ทวิฉบับที่ 4 พ.ศ.2504 มาตรา 6 กระทงหนึ่ง ผิดตาม พระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 มาตรา 102 กระทง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 5 ปี ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2504 มาตรา 6จำคุกกระทงละ 3 วันตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 10 อีก2 กระทง ริบของกลางนอกจากเงิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1ในข้อหามีกัญชาและบ้องกัญชา ลดโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีเฮโรอีนอีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม จำคุก 3 ปี 4 เดือน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน2520 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับจำเลยทั้งสองในบ้านเลขที่ 89/4 ถนนเปรมประชาราษฎร์ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านได้เฮโรอีนกับกัญชาและบ้องกัญชาตามฟ้องเป็นของกลาง
ข้อวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีกัญชาและบ้องกัญชาไว้ในครอบครองหรือไม่
โจทก์มีนางวนิดา พูลสมบัติมาเบิกความเป็นพยานว่าพยานเป็นผู้ดูแลห้องแถวเลขที่ 89/1 ถึง 6 ถนนเปรมประชาราษฎร์ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่านจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นของบิดาของพยาน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2520 จำเลยทั้งสองมาขอเช่าห้องเลขที่ 89/4 ตกลงค่าเช่ากันเดือนละ 250 บาท จำเลยที่ 1เป็นผู้ชำระค่าเช่า เมื่อได้รับค่าเช่าแล้วพยานก็มอบกุญแจสำหรับบ้านหลังนั้นให้จำเลยที่ 1 และมีพันตำรวจตรีสุรพล ชูโต พลตำรวจดรุณ ใหม่ทา พลตำรวจธวัชชัย ดวงจินดา มาเบิกความเป็นพยานว่า ได้เข้าตรวจค้นบ้านดังกล่าวต่อหน้าจำเลยทั้งสอง ได้เฮโรอีน กัญชา และบ้องกัญชาในห้องซึ่งจำเลยทั้งสองนั่งและนอนอยู่ ได้ทำบันทึกการจับกุมให้จำเลยทั้งสองลงชื่อไว้ตามเอกสารหมาย จ.1ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็เบิกความรับว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้จำเลยที่ 1 อ่าน และให้ลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 1 ก็ได้ลงให้ไปโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้บังคับขู่เข็ญแต่ประการใด ปรากฏในเอกสารดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 รับว่ามีกัญชาของกลางไว้ในความครอบครองจริง ศาลฎีกาพิเคราะห์เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันดำเนินการต่าง ๆ ตลอดมานับตั้งแต่มาเช่าบ้านที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกัน ข้อเท็จจริงเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีกัญชาและบ้องกัญชาของกลางไว้ในความครอบครองตามฟ้องพยานจำเลยที่ 1 เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดข้อหานี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า นอกจากความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายแล้ว จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง และมีความผิดฐานมีบ้องกัญชาไว้ในครอบครองอีกรวมสองกระทง ลงโทษตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ. 2477 มาตรา 10 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนดกระทงละสามวันรวม 2 กระทงเป็นโทษจำคุกหกวัน คำรับของจำเลยที่ 1 ต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงเหลือโทษจำคุกสี่วัน เมื่อรวมกับโทษฐานมีเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วเป็นให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนดสามปีสี่เดือน สี่วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”