คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเช่านาของ ร. ห. เช่านาของโจทก์ จำเลยทำนาของโจทก์ที่ ห. เช่าแลกกับให้ ห. ทำนาของ ร. ที่จำเลยเช่า เป็นการที่จำเลยทำนาของโจทก์โดยอาศัยสิทธิของ ห. ไม่เป็นการที่จำเลยเช่านาของโจทก์ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาฯ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามฟ้องจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติรับฟังได้ว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1033 และเลขที่ 1034 ตำบลคลองสิบสอง อำเภอหนองจอก กรุงเทพมหานคร เป็นของนายมานบิดาโจทก์จำเลยและนายหะยีสะและ สุโอ๊ะหลังจากที่นายมานถึงแก่กรรมแล้ว ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตกเป็นของโจทก์จำเลยและนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ คนละส่วนเท่า ๆ กัน ประมาณคนละ 17ไร่เศษ ซึ่งต่างแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดมาแต่ปี พ.ศ. 2498 โดยโจทก์ครอบครองทางด้านทิศตะวันตก ส่วนของจำเลยอยู่ทางทิศตะวันออก และส่วนของนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ อยู่ตรงกลาง ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2516นายหะยีสะและ สุโอ๊ะ ได้ขายที่ดินส่วนของตนให้แก่นายหมัด มะแก้ว จำเลยร่วมแล้วนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ เป็นผู้เช่าจากจำเลยร่วม ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม2518 จำเลยร่วมได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จึงขอรังวัดแบ่งแยกส่วนของโจทก์ออกจากโฉนดเลขที่ 1034 แต่จำเลยไม่ยอมให้แบ่ง อ้างว่าเช่าจากนายหมัด มะแก้ว จำเลยร่วม ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 ตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมา

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายหมัด มะแก้ว จำเลยร่วมเบิกความยืนยันว่าเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2516 ได้ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของนายหะยีสะและ สุโอ๊ะเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่เศษ ในราคา 35,000 บาท โดยทำนิติกรรมจดทะเบียนการซื้อขาย ณ สำนักงานที่ดินอำเภอมีนบุรี ในเดือนเดียวกันนั้นเอง นายหะยีสะและสุโอ๊ะ ก็ขอเช่าที่ดินที่ขายไปจากนายหมัด มะแก้ว ในราคาปีละ 2,000 บาทเศษปรากฏตามเอกสารหมาย ลร.1 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2518 นายหมัดมะแก้ว จำเลยร่วมได้ขายที่นาส่วนที่ซื้อมาจากนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ ให้แก่นางจำเนียร ประดับญาต โจทก์ในราคาเดิมและได้จดทะเบียนการซื้อขาย ณสำนักงานที่ดินอำเภอมีนบุรีเช่นกัน การซื้อขายดังกล่าวนายหะยีสะและ สุโอ๊ะรู้เห็นยินยอมด้วยซึ่งมีเหตุผลรับฟังได้ที่จำเลยอ้างว่าตนเช่านาพิพาทจากนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ หรือจากนายหมัด มะแก้ว หรือจากโจทก์นั้น ก็ปรากฏว่าการเข้าทำเป็นการอาศัยสิทธิของนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ ซึ่งให้จำเลยเข้าทำแลกเปลี่ยนกับนาของนางเหรียญซึ่งจำเลยเช่าให้นายหะยีสะและ สุโอ๊ะ ทำเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้เช่านาจากโจทก์หรือนายหมัด มะแก้ว จำเลยร่วม หรือนายหะยีสะและ สุโอ๊ะ โดยตรงแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยซึ่งต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว”

พิพากษายืน

Share