แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน ตามมาตรา 288,80 และฐานพกพาอาวุธปืน ตาม มาตรา371 ให้เรียงกระทงลงโทษโดยจำคุกและปรับ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดในคดีนี้ก็หยิบยกประเด็นข้อหาในเรื่องการพกพาอาวุธปืน ซึ่งแม้จะยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เสียด้วยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกระทงคือบังอาจพาอาวุธปืนไปในเมืองและตามทางสาธารณะโดยเปิดเผยและไม่มีเหตุสมควร และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 228, 80, 371, 91 จำคุก 12 ปีและปรับ 100 บาท นำโทษที่รอไว้จำคุก15 วันมาลงด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 9 ปี โทษปรับคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีดังกล่าวเป็นคดีอุฉกรรจ์ ซึ่งโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้เห็นประจักษ์ถึงการกระทำผิดของจำเลย แต่เท่าที่โจทก์นำสืบมาคดีมีพฤติการณ์ที่น่าสงสัย สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
เมื่อฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิดในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกประเด็นข้อหาในเรื่องการพกพาอาวุธขึ้นวินิจฉัยด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ซึ่งแม้จะยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนหัวกระสุนปืนของกลางให้ริบ”