แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้ลงโทษจำคุกจำเลยสามปี เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
การที่จำเลยทั้งสองมีไม้ตะพดเป็นอาวุธร่วมกันลักทรัพย์โดยจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตะพดตีผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ใช้มือตบตีพวกของเจ้าทรัพย์นั้นเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์แล้ว หาใช่เป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์เท่านั้นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างเวลากลางคืนหลังเที่ยงของวันที่ 25พฤษภาคม 2510 กับเวลากลางคืนก่อนเที่ยงของวันที่ 26 พฤษภาคม 2510ติดต่อกัน จำเลยทั้งสองมีไม้ตะพดเป็นอาวุธร่วมกันลักทรัพย์ธนบัตร1,800 บาท สายสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 800 บาท เครื่องรับวิทยุ1 เครื่อง ราคา 360 บาท รวมราคา 2,960 บาทของนางแสง กลิ่นมาลาไปโดยทุจริตซึ่งในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยได้ใช้ไม้ตะพดตีประทุษร้ายร่างกายนางแสง กลิ่นมาลา กับใช้มือตบตีประทุษร้ายร่างกายนางสาวอำพันธ์ กลิ่นมาลา พวกของเจ้าทรัพย์ไม่ถึงบาดเจ็บทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การที่จำเลยลักทรัพย์ พาเอาทรัพย์ไป เพื่อยื่นให้ซึ่งทรัพย์ เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้เพื่อปกปิดการกระทำผิด และเพื่อให้พ้นจากการถูกจับกุม เหตุเกิดที่ตำบลศรีจุฬาอำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2510เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 83 กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 2,960 บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อสู้ อ้างฐานที่อยู่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรค 3 จำคุกคนละ 3 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 2,960 บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันในข้อสำคัญและขัดต่อเหตุผลหลายประการ ไม่พอฟังลงโทษจำเลยขอให้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์เสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 คงรับแต่ฎีกาข้อ 3(3) (4) ซึ่งสรุปใจความได้ว่า การกระทำของจำเลยไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 เพราะตามคำพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่ามีการประทุษร้ายและไม่มีการสมคบกันตามมาตรา 83 พฤติการณ์ของจำเลยหากจะมีก็เป็นเพียงการลักทรัพย์ ซึ่งศาลจะลงโทษฐานชิงทรัพย์ไม่ได้
ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้ว
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างให้ลงโทษจำคุกจำเลยสามปีจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฉะนั้นในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในท้องสำนวน
ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วมีว่า ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา จำเลยทั้งสองมีไม้ตะพดเป็นอาวุธร่วมกันลักทรัพย์รวมราคาทั้งสิ้น 2,960 บาทของนางแสง กลิ่นมาลา โดยจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตะพดตีนางแสง และจำเลยที่ 2 ใช้มือตบตีประทุษร้ายนางสาวอำพันธ์กลิ่นมาลา ทำให้เป็นอันตรายแก่กายของนางแสงและนางสาวอำพันธ์ ดังนี้เป็นการกระทำครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรค 3 แล้ว หาใช่เป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ดังฎีกาจำเลยไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ตามคำพยานโจทก์ถือไม่ได้ว่ามีการประทุษร้าย และการกระทำของจำเลยไม่มีการสมคบกันตามมาตรา 83 นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัย
ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ 1