แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานค้าที่ดินโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นจะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดเอกชนมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องในความผิดส่วนนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 5 คนในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยใช้อุบายตั้งห้างหุ้นส่วนสหบัญชีจำเลยที่ 1 ขึ้นโดยให้มีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายและให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ และใช้อุบายหลอกลวงแถลงความเท็จโดยประกาศโฆษณาแก่ประชาชนให้มาซื้อและเช่าซื้อที่ดินจัดสรรของจำเลยที่ 1 ที่ตำบลหนองค้างพลู อำเภอหนองแขม จังหวัดธนบุรีทั้งระบบเงินสดและเงินผ่อนซึ่งความจริงแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่มีที่ดินจะจำหน่าย หรือให้เช่าซื้อเลย ประชาชนรวมทั้งโจทก์หลงเชื่อและโจทก์ได้ตกลงเช่าซื้อที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 100 ตารางวา ราคา 5,900 บาทและซื้อที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 60 ตารางวา ราคา 6,000 บาท โดยได้ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเรื่อยมาจนครบงวดสุดท้าย และได้จ่ายเงินค่าซื้อที่ดินแปลงหลังไปแล้วโดยจำเลยหลอกลวงว่าจะรีบออกโฉนดให้ ต่อมาโจทก์สงสัยในพฤติการณ์จำเลย จึงไปตรวจสอบหลักฐานห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 จึงทราบว่าได้จดทะเบียนเลิกกิจการไปแล้ว โดยร่วมกันแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ขอเลิกห้างหุ้นส่วนโดยว่าไม่มีหนี้สินเหลืออยู่อีกแล้วและได้แบ่งทรัพย์สินที่เหลือกันหมดสิ้นแล้ว เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานนายทะเบียนหลงเชื่อยอมจดทะเบียนเลิกให้ ซึ่งความจริงห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 ยังมีหนี้สินจะต้องชำระแก่โจทก์และประชาชนซึ่งถูกฉ้อโกงไปอีกมาก และจำเลยยังมีความผิดดำเนินการค้าที่ดินโดยไม่รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342, 343, 137, 83 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 101, 111, 112
ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ 5 ไม่ได้ จึงสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 5 ชั่วคราว
จำเลยทั้ง 4 คนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) สำหรับจำเลยที่ 2 ฟังว่าหลอกลวงโจทก์และประชาชนตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 3 และ 4 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการนี้ พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ให้จำคุกไว้ 3 ปี ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3, 4
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยืนเกี่ยวกับจำเลยที่ 1, 3, 4 ส่วนจำเลยที่ 2 ฟังว่ากระทำไปโดยลำพังตนเอง มิได้ร่วมมือกับจำเลยคนอื่นและโจทก์มิใช่ผู้อ่อนแอทางจิต จึงมีความผิดตามมาตรา 343 วรรค 1 ไม่ใช่วรรค 2 ส่วนในข้อหาจำเลยที่ 2 ค้าที่ดินโดยไม่รับอนุญาตนั้นโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย แต่เห็นว่าที่จำเลยที่ 2 รู้สึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้าย มีเหตุบรรเทาโทษพิพากษาแก้ให้ลงโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมาย ซึ่งโจทก์มีสิทธิฎีกาขึ้นมาเท่านั้น สำหรับปัญหาในข้อที่ว่าสิทธิของโจทก์ในการฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนไปแล้ว เป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) นั้น เห็นว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการอย่างใดเลยจนกระทั่งจดทะเบียนเลิกไป ซึ่งเป็นการฟังว่ามิได้กระทำผิด ฉะนั้นฎีกาโจทก์ในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนฎีกาโจทก์ในปัญหาว่าโจทก์จะมีสิทธิฟ้องในข้อหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน ฐานดำเนินการค้าที่ดินโดยไม่รับอนุญาตนั้น เห็นว่าโจทก์หาเป็นผู้เสียหายในการกระทำผิดส่วนนี้ไม่ หากเป็นเรื่องที่รัฐจะเป็นผู้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 เอง ฎีกาโจทก์ในข้ออื่น ๆ เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามพิพากษายืน