คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่โดย ป. ผู้ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดเชียงใหม่เป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกมีพินัยกรรมของ ค. จากจำเลยซึ่งเป็นบุพการีของ บ. โดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ต่อมา ป. ย้ายไปรับราชการประจำกรมอัยการ ดังนี้ เห็นว่าป. เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ มิได้ฟ้องเป็นส่วนตัว โดยได้รับมอบอำนาจจากบรรดาทายาท ฉะนั้น ในการดำเนินคดี หาก ป. ไม่อยู่หรือถูกย้ายไปพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่คนอื่นๆ ก็มีอำนาจดำเนินคดีแทน ป. ได้โดยไม่ต้องได้รับมอบอำนาจจาก ป. อีก
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยแบ่งที่นาพิพาทให้แก่บรรดาทายาทตามพินัยกรรมของ ค. จำเลยต่อสู้ว่าที่นาพิพาททั้งหมดเป็นของจำเลย มิใช่มรดกของ ค. ดังนี้คำฟ้องและคำขอของโจทก์เพียงขอให้แบ่งที่นาพิพาทบางส่วนแก่ทายาทตามพินัยกรรมของ ค. เท่านั้น มิได้ฟ้องและมีคำขอให้ใช้ค่าเสียหายในการที่บรรดาทายาทมิได้รับประโยชน์จากที่นาพิพาทในระหว่างคดี ฉะนั้น การที่โจทก์ร้องขอให้ตั้งผู้จัดการผลประโยชน์ที่นาพิพาทเพื่อรวบรวมผลประโยชน์ในระหว่างคดีแบ่งให้แก่ทายาท จึงเป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ร้องและขอแก้ไขเพิ่มเติมว่า ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกที่นารวม 900 ไร่เศษให้แก่ทายาทผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายคำตัน สุขเกษม เจ้ามรดก ที่นาดังกล่าวนี้จะตกได้แก่ทายาทประมาณสองในสามส่วนร่วมกับจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมให้ทายาทของเจ้ามรดกเข้าจัดการร่วม เป็นเหตุให้ผลประโยชน์ค่าเช่านาต้องสูญหายไปเป็นจำนวนมาก คิดเป็นเงินปีละไม่ต่ำกว่า 60,000 บาท ซึ่งควรจะได้แก่ทายาทผู้ฟ้องแบ่งมรดกรายนี้ ฉะนั้น เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์ขอให้ศาลสั่งดำเนินการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของทายาทผู้ได้รับผลตามคำพิพากษา ในอันจะได้ผลประโยชน์ค่าเช่านาเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทในระหว่างพิจารณาคดีชั้นอุทธรณ์ฎีกาต่อไป เพราะขณะนี้จวนถึงฤดูทำนาแล้วโดยขอให้ตั้งจ่าศาลจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินพิพาท หรือให้คู่ความประมูลเช่านาพิพาทเพื่อเก็บค่าเช่านาส่วนพิพาทรักษาไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หากฝ่ายใดชนะคดี ก็ได้รับเงินส่วนนี้ไป

จำเลยแถลงคัดค้านว่า ร้อยตำรวจตรีประสพ ภู่ทองคำ ผู้ยื่นคำร้องไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นโจทก์ เพราะทายาทไม่ได้ขอร้องให้ร้อยตำรวจตรีประสพฟ้องค่าเช่านาหรือข้าวในนาพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่พิพาทในคดี นาพิพาทจำเลยให้คนเช่าทำยังไม่ครบกำหนดสัญญาจะนำมาประมูลไม่ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจร้องขอความคุ้มครอง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจร้องขอความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 และเห็นสมควรตั้งจ่าศาลจังหวัดเชียงใหม่ จึงสั่งตั้งจ่าศาลจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้จัดการทรัพย์สินเฉพาะนาพิพาท36 แปลง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของโจทก์

โจทก์ฎีกา

คดีฟังได้ว่า เดิมพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ โดยนายประสิทธิ์ จันทรศัพท์ ผู้ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดเชียงใหม่เป็นโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกมีพินัยกรรมของนายคำตัน สุขเกษม จากจำเลยซึ่งเป็นบุพการีของนางบัวนำ สุคันธกุล กับพวก โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ต่อมานายประสิทธิ์ จันทรศัพท์ ย้ายไปรับราชการประจำกรมอัยการจึงได้ยื่นคำแถลงต่อศาลมอบให้ร้อยตำรวจตรีประสพ ภู่ทองคำ ผู้ดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วยจังหวัดเชียงใหม่ดำเนินคดีต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้นายประสิทธิ์ จันทรศัพท์ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ มิใช่ฟ้องเป็นส่วนตัวโดยได้รับมอบอำนาจจากบรรดาทายาท ฉะนั้น ในการดำเนินคดีหากนายประสิทธิ์ จันทรศัพท์ ไม่อยู่หรือถูกย้ายไป พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่คนอื่น ๆ ก็มีอำนาจดำเนินคดีแทนนายประสิทธิ์ จันทรศัพท์ ได้ ในฐานะที่แต่ละคนมีตำแหน่งหน้าที่เป็นพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในตัวโดยไม่ต้องได้รับมอบอำนาจจากนายประสิทธิ์ จันทรศัพท์ อีก

คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยแบ่งที่นาพิพาทให้แก่บรรดาทายาทตามพินัยกรรมของนายคำตัน สุขเกษม จำเลยต่อสู้ว่าที่นาพิพาททั้งหมดเป็นของจำเลยมิใช่มรดกของนายคำตัน สุขเกษมเห็นได้ว่าฟ้องและคำขอของโจทก์เพียงขอให้แบ่งที่นาพิพาทบางส่วนแก่ทายาทตามพินัยกรรมของนายคำตัน สุขเกษม เท่านั้น มิได้ฟ้องและมีคำขอให้ใช้ค่าเสียหายในการที่บรรดาทายาทมิได้รับประโยชน์จากที่นาพิพาทในระหว่างคดี ฉะนั้นการที่โจทก์ร้องขอให้ตั้งผู้จัดการผลประโยชน์ที่นาพิพาท เพื่อรวบรวมผลประโยชน์ในระหว่างคดีแบ่งให้แก่บรรดาทายาท จึงเป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า แม้ทายาทจะมีสิทธิได้แบ่งที่นาพิพาทจากจำเลยตั้งแต่วันพิพากษาก็ดีหรือจะมีสิทธิได้ดอกผลในนาพิพาทตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นแบ่งที่นาพิพาทให้แก่ทายาทก็ดี หรือทายาทจะได้รับความเสียหาย ในกรณีนี้อย่างไรก็ดีเป็นสิทธิของทายาทจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย จึงยังไม่มีเหตุสมควรจะสั่งคุ้มครองตามคำร้องขอของโจทก์

พิพากษายืน

Share