คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8797/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าทะเบียนการค้าระหว่างเดือนมิถุนายน2533 ถึงเดือนธันวาคม 2533 จะยังมีชื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยโจทก์มิได้แจ้งเลิกประกอบการค้าหรือโอนกิจการค้าต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 82 ทวิ ซึ่งเป็นความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90แห่งประมวลรัษฎากร ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบกิจการไนท์คลับและไม่มีรายรับจากการประกอบการค้าดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 7 โรงแรมและภัตตาคารชนิด (ก) ตามการประเมินของเจ้าพนักงาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามใบแจ้งการประเมินภาษีเลขที่ 1016/4/107748 ถึง 107766

จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและแต่งตั้งทนายความมาถามค้าน

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 (ภ.ค. (พ) 8) เลขที่ 1016/4/107748 ถึง 107766 ลงวันที่ 15ตุลาคม 2536 และเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตามหนังสือเลขที่ 1016/ฝ.2/29/41/329 – 348 ฉบับลงวันที่ 19 มิถุนายน 2539

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า โจทก์มีรายรับจากการประกอบกิจการค้าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2533 ถึงเดือนธันวาคม 2534หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า ในเดือนพฤษภาคม 2532โจทก์ประกอบกิจการค้าประเภทไนท์คลับตามบัญชีการค้าประเภท 7ชนิด (ก) ใช้ชื่อว่า คอททันผับ ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร โจทก์เช่าอาคารที่ใช้ประกอบกิจการจากนางสุพัตรา ศิริวัฒน์ เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2532 ถึงเดือนพฤษภาคม 2535 ค่าเช่าเดือนละ 24,000 บาท โจทก์จดทะเบียนการค้าแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2532 โจทก์ขาดสภาพคล่องจึงปิดกิจการ ต่อมาโจทก์ได้ให้นายณรงค์ คงฤทธิ์ เช่าอาคารดังกล่าวพร้อมอุปกรณ์ภายในร้านตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2533 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2535 ปรากฏตามหนังสือสัญญาเช่าหมาย จ.1 แผ่นที่ 3 ถึง 5 ในเรื่องการให้นายณรงค์เช่ากิจการนี้เมื่อโจทก์กลับจากต่างประเทศโจทก์เคยให้ถ้อยคำไว้ต่อเจ้าพนักงานของจำเลย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 ตามเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 18ถึง 19 การที่นายณรงค์เช่าอาคารและดำเนินกิจการต่อจากโจทก์ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 นายณรงค์ผู้เช่าก็เคยให้ถ้อยคำไว้ต่อนายอนุสรณ์ จารุดุล เจ้าพนักงานของจำเลยรับว่าทำกิจการค้าต่อจากโจทก์ตามสัญญาเช่าตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2533 จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน2535 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 20 ถึง 22 และได้ถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนประกอบบันทึกการให้ถ้อยคำไว้ด้วย นางสุพัตราศิริวัฒน์ ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารที่ให้เช่าก็เบิกความว่านายณรงค์มาพบขอเช่าห้องที่โจทก์เช่าอยู่เพราะกิจการของโจทก์ขาดทุน นางสุพัตราเริ่มเก็บค่าเช่าจากนายณรงค์เมื่อเดือนมิถุนายน 2533 จำเลยไม่สืบหักล้างเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ให้นายณรงค์เช่ากิจการของโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2533 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน2535 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2533 โจทก์จึงไม่ได้ประกอบกิจการไนท์คลับอีกต่อไป ผู้ที่ประกอบกิจการไนท์คลับและมีรายรับจากการทำกิจการไนท์คลับดังกล่าวต่อจากโจทก์คือนายณรงค์ ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าทะเบียนการค้าระหว่างเดือนมิถุนายน 2533 ถึงเดือนธันวาคม2533 จะยังมีชื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า โดยโจทก์มิได้แจ้งเลิกประกอบการค้าหรือโอนกิจการค้าต่อเจ้าพนักงานจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 82 ทวิซึ่งเป็นความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 90 แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบกิจการไนท์คลับและไม่มีรายรับจากการประกอบการค้าดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 7 โรงแรมและภัตตาคารชนิด (ก) ตามการประเมินของเจ้าพนักงาน ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share