คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6932/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีการอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวและส่งความเห็นของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา การพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวจึงเป็นอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่าให้รวมสำนวนไว้ ย่อมมีผลเป็นการปฏิเสธที่จะส่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลฎีกา จึงเป็นการไม่ชอบ
คำร้องของโจทก์ทั้งสองระบุเพียงแต่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดีปกครองหรือไม่ มิได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาไม่จำต้องส่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกนายชัยจิตร รัฐขจร เป็นโจทก์ที่ 1 นางพรเพ็ญ รัฐขจรเป็นโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนเพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดให้แก่โจทก์ทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้อง ขอให้ศาลฎีการอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวและส่งความเห็นของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลฎีกาทำคำพิพากษาและคำสั่งคำร้องเสร็จสิ้นและส่งให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง

ก่อนถึงวันนัดฟังคำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกา โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องรวม 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งโต้แย้งว่าศาลฎีกาไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นคดีปกครอง ขอให้ศาลฎีการอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว และส่งความเห็นของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนคำร้องอีกฉบับหนึ่งขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกาไว้ก่อน และส่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองให้ศาลฎีกาพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2541ที่ขอให้งดการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกาว่า ไม่มีเหตุที่จะงดการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกา ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ ส่วนคำร้องอีกฉบับหนึ่งที่โจทก์ทั้งสองขอให้ส่งไปศาลฎีกาเพื่อให้ศาลฎีการอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวและส่งความเห็นของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น สั่งให้รวมสำนวนไว้

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คำร้องของโจทก์ทั้งสองฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2541 ที่ขอให้ศาลฎีการอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวและส่งความเห็นของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นคำร้องที่โจทก์ทั้งสองประสงค์ให้ศาลฎีกาพิจารณาและมีคำสั่ง ทั้งขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา การพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองเป็นอำนาจของศาลฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมสำนวนไว้มีผลเป็นการปฏิเสธที่จะส่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลฎีกาพิจารณาจึงเป็นการไม่ชอบดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกา ปัญหาต้องพิจารณาต่อไปมีว่าสมควรเพิกถอนการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ศาลชั้นต้นอ่านภายหลังมีคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ ในข้อนี้เห็นว่า การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่คำร้องของโจทก์ทั้งสองฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2541เพียงแต่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดีปกครองหรือไม่ มิได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญศาลฎีกาไม่จำต้องส่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจึงไม่มีประโยชน์ที่จะเพิกถอนการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาของศาลฎีกาตามคำขอของโจทก์ทั้งสอง”

พิพากษายืน

Share