แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ เพราะตำรวจยึดไปสอบสวนกรณีรถนั้นถูกลักมา เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องคืนรถแก่จำเลยผู้ให้เช่าซื้อ แม้จำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อในการที่ถูกตำรวจยึดรถไป
ย่อยาว
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย ตำรวจยึดรถไปสอบสวนกรณีที่รถถูกลักมาโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญา ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ผิดสัญญาพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง 11,314บาทกับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระงวดแรก 40,000 บาท ใช้ค่าเสียหายที่ไม่ได้ใช้รถ 14 เดือน 54,000 บาท ยกฟ้องแย้ง จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์โตโยต้ารุ่นโคโรน่าแรงม้า 1600 ซีซี หมายเลขทะเบียน ก.ท.อ. 4105 คือรถยนต์คันพิพาท เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2517 โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยเป็นเงิน 103,140 บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา40,000 บาท ที่เหลือจะชำระรายเดือน ๆ ละ 3,438 บาท เริ่มชำระวันที่ 15 เมษายน 2517 หลังจากนั้นจะชำระภายในวันที่ 15 ของทุก ๆ เดือนต่อไป จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทให้โจทก์ครอบครองและใช้นับแต่วันทำสัญญาเป็นต้นมาปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1, ล.3 โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยแล้ว 4 งวดและชำระอีก 2,569 บาท อันเป็นเงินส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อประจำเดือนสิงหาคม 2517 ต่อมาประมาณวันที่ 25 กันยายน 2517 ตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีได้ยึดรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์โดยอ้างว่าเป็นรถที่ถูกลักมา โจทก์จึงแจ้งเรื่องดังกล่าวให้จำเลยทราบ หลังจากนั้นโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทกับจำเลย และโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าเหตุที่รถยนต์พิพาทถูกตำรวจยึดไป เพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่าที่รถยนต์พิพาทถูกตำรวจยึดไว้เพื่อทำการสอบสวนโดยอ้างว่าเป็นรถที่ถูกลักมา จึงเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งคือโจทก์ที่ไม่ได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์พิพาทตามสัญญา ซึ่งไม่แน่ว่าจำเลยจะขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากตำรวจมามอบให้โจทก์ได้เมื่อใด กรณีเช่นนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยได้ การบอกเลิกสัญญาดังกล่าวโจทก์ไม่จำต้องนำรถยนต์พิพาทมามอบให้จำเลย โจทก์เพียงแต่แจ้งให้จำเลยทราบว่ารถยนต์พิพาทถูกตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรียึดไว้ก็พอแล้ว จำเลยผู้เป็นเจ้าของรถย่อมมีสิทธิและหน้าที่ไปขอรับรถยนต์พิพาทคืนได้ และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยแล้วเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2518 ตามเอกสารหมาย จ.3 ฉะนั้นสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นอันเลิกกัน คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ภายหลังจากนี้จำเลยได้ทวงถามให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างเกินกว่า 2 คราวติด ๆ กัน โจทก์จึงไม่ชำระเพราะได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไว้ก่อนแล้ว จำเลยจะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ซ้ำอีก ย่อมไม่บังเกิดผลแต่ประการใด
สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มีเจตนาจะเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยดังกล่าวข้างต้นตั้งแต่แรกที่รถยนต์พิพาทถูกตำรวจยึดไว้แล้ว ซึ่งจะเห็นว่าโจทก์ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้จำเลยทราบหลังจากนั้นโจทก์ก็ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยตลอดมาที่โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2517 เป็นเงิน 6,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.6นั้น เป็นการชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ก่อน คืองวดที่ 4 และงวดที่ 5 ประจำเดือนสิงหาคม 2517 ต่อมาโจทก์ก็ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยอีกทั้ง ๆ ที่โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระตามสัญญา ฉะนั้นโจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายกรณีที่โจทก์ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากรถยนต์ เพราะถูกตำรวจยึดไปเป็นเวลา 14 เดือน แต่อย่างเดียว โดยไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่เลย ย่อมไม่ได้ เพราะถือว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของโจทก์มีผลมาแต่แรกดังกล่าว
ปัญหาเรื่องเงิน 40,000 บาทที่โจทก์ชำระให้จำเลยในวันทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 2 ระบุไว้ว่า ให้เงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอย่างเด็ดขาดก็ตาม เงิน 40,000 บาทนี้มิใช่เงินค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทอย่างเดียว แต่เป็นเงินที่โจทก์ชำระเพื่อตอบแทนในการที่จำเลยมอบรถยนต์ให้โจทก์ไปใช้ประโยชน์ตลอดระยะเวลาที่คู่สัญญายังปฏิบัติตามสัญญาโดยครบถ้วน เมื่อรถยนต์พิพาทถูกตำรวจยึดไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์และโจทก์ไม่ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์ไม่ได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์พิพาทตามสัญญาครบถ้วนจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องบอกเลิกสัญญามีผลให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมดังที่วินิจฉัยมาแล้ว จำเลยก็ต้องคืนเงิน 40,000 บาทให้โจทก์
ได้ความว่าโจทก์ครอบครองและใช้ได้รับประโยชน์จากรถยนต์พิพาทตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อตลอดมาจนถึงเดือนกันยายน 2517 ที่ถูกตำรวจยึดรถยนต์ไป แต่โจทก์ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อให้จำเลยถึงงวดประจำเดือนกรกฎาคม 2517 เงิน 3,438 บาท และประจำเดือนสิงหาคม 2517 บางส่วนเงิน 2,562 บาทรวมเป็นเงิน 6,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 เท่านั้น โจทก์คงค้างชำระเงินค่าเช่าซื้อประจำเดือนสิงหาคม 2517 บางส่วนเงิน 876 บาท และประจำเดือนกันยายน 2517 อันเป็นเดือนสุดท้ายที่โจทก์ได้ใช้รถยนต์พิพาทเป็นเงิน 3,438 บาท รวมเป็นเงิน 4,314 บาท โจทก์ควรชำระเงินดังกล่าวให้จำเลยเป็นการตอบแทนที่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาท ฉะนั้นจึงให้หักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากยอดเงิน 40,000 บาท คงเหลือเงิน 35,686 บาท ที่จะต้องคืนให้โจทก์
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้จำเลยคืนเงิน 35,686 บาทแก่โจทก์ ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากยอดเงิน 35,686บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จากยอดเงินตามที่โจทก์ชนะคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”