คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนและต้นลำใยลงในที่ๆโจทก์ซื้อแต่ยกให้จำเลยการปลูกโรงเรือนและต้นผลไม้นี้ทำให้ราคาที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเมื่อโจทก์จะออกไปจากที่ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระราคาสิ่งปลูกสร้างคือค่าเรือนโรงและต้นผลไม้เอาจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ 18 ปี โจทก์ซื้อที่ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน 1 ไร่เศษเพื่อทำเป็นที่อาศัย แต่โดยที่โจทก์เป็นคนต่างด้าวจึงใช้ชื่อจำเลยซื้อแทน ต่อมาโจทก์ได้ปลูกเรือนขึ้นอยู่ 3 หลังราคา 10,000 บาท และปลูกลำใยอย่างดี 21 ต้นซึ่งบัดนี้มีผลคิดราคาต้นลำใย 20,000 บาท ครั้นมาเมื่อเดือนมีนาคม 2498 จำเลยกับนางจันทร์เที่ยงภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นลูกจำเลยคิดโลภ ได้ขับไล่โจทก์ โจทก์จึงขอเรียกเอาค่าเรือนและค่าต้นลำใย และค่าผลลำใยที่จำเลยเก็บขายรวม 32,000 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ (ส่วนที่ดินนั้นโจทก์ยอมไม่เรียกเอา)

จำเลยต่อสู้ว่า ที่เรือน ต้นลำใยเป็นของจำเลย โจทก์เป็นแต่ผู้อาศัย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า หลักฐานเชื่อว่าโจทก์ซื้อที่แล้วยกให้จำเลยโดยเสน่หา และฟังต่อไปว่าเรือนและลำใยโจทก์ก็ปลูก จึงเข้าในลักษณะที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 1310ที่ว่า บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น ๆ แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือน และตามมาตรา 1314 ก็บังคับถึงการปลูกต้นผลไม้คือลำใยในเรื่องนี้ด้วย เมื่อจำเลยไม่ได้บอกปัดไม่ยอมรับหรือเรียกให้โจทก์รื้อถอน จำเลยก็ต้องชดใช้ค่าสิ่งที่ปลูกสร้างเพิ่มขึ้นจึงพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสิ่งปลูกสร้างคือ ค่าเรือนกับต้นลำใยแก่โจทก์รวม 12,000 บาท ค่าผลลำใยไม่บังคับให้เพราะถือว่าเป็นสิทธิขาดของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share