คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่านามือเปล่าไม่ชำระค่าเช่า และบอกผู้ให้เช่าว่ามีผู้ทำพินัยกรรมยกนานั้นให้ผู้เช่าเป็นการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือถ้าผู้ให้เช่าไม่ฟ้องใน 1 ปี ก็หมดสิทธิฟ้องเรียกคืนแม้ผู้ให้เช่าฟ้องครั้งหนึ่งแล้วถอนฟ้องเสียผลของการถอนฟ้องทำให้กลับสู่ฐานะเดิมเหมือนไม่มีการฟ้องเลย

ย่อยาว

คดีนี้นายปลอด มีสอาด โดยนายช่วย ชะตาแก้ว ผู้รับมอบอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องว่า ที่ดินนาพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ราคา 3,000 บาท อยู่ตำบลหูล่อง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชเดิมเป็นของนายคลิ้ง มีสอาด บิดาโจทก์ แต่เมื่อ 10 กว่าปีมานี้นายคลิ้งยกที่พิพาทให้โจทก์ ๆ ทำนาและครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาเมื่อ 3 ปีมานี้โจทก์ป่วยทำนาไม่ได้ จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ทำ บัดนี้โจทก์ต้องการที่นาคืน จำเลยกลับเถียงสิทธิอ้างว่านายคลิ้งทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลย ซึ่งไม่จริง และกระทำกันโดยไม่สุจริต จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนายคลิ้ง มีสอาด บิดา จำเลย นายคลิ้งได้ยกที่พิพาทให้จำเลย ๆ ครอบครองมาช้านานแล้วแต่เนื่องจากนายคลิ้งมีบุตรหลายคน ไม่ไว้ใจบุตร จึงได้ทำพินัยกรรมลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2495 ให้จำเลยอีก นายคลิ้งตายมาประมาณ 4 ปี แล้วจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ทั้งได้เอาไปจำนองกับสหกรณ์โจทก์มิได้คัดค้าน และโจทก์หาได้ครอบครองที่พิพาทดังฟ้องไม่ คดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยไม่เคยเช่าที่พิพาทจากโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาฟังข้อเท็จจริงว่า นายคลิ้งได้ยกที่นาพิพาทให้โจทก์ และโจทก์ใช้สิทธิครอบครองมา ไม่เชื่อว่านายคลิ้งทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลย ถึงหากจะมีพินัยกรรมจริงก็หามีผลไม่ เพราะเป็นที่มือเปล่า การยกให้ย่อมสมบูรณ์โดยการครอบครองที่จำเลยครอบครองทำนาพิพาทก็โดยเช่าจากโจทก์ จึงพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำนาพิพาทอยู่ ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยยึดถือเพื่อตน นอกนั้นยังเชื่อตามพยานหลักฐานจำเลยว่านายคลิ้งได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลยจริง ที่โจทก์อ้างว่า จำเลยเช่า ไม่มีหลักฐานอย่างใด ไม่เพียงพอที่จะรับฟังเป็นความจริง ใช่แต่เท่านั้นยังได้ความจากคำพยานโจทก์ว่า จำเลยชำระค่าเช่านาให้โจทก์ในปีแรกคือ พ.ศ. 2495 ที่นายคลิ้งตายไปเพียงปีเดียว ส่วนปีต่อมาอีก 2 ปี จำเลยไม่ได้ชำระให้โดยอ้างว่า นายคลิ้งได้ทำพินัยกรรมยกให้จำเลยแล้ว ถึงหากจะฟังว่านายคลิ้งยกที่พิพาทให้โจทก์ ๆ ให้จำเลยเช่าทำ ก็ต้องถือว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแล้ว โจทก์หาได้ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ไม่ จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจปรึกษา ทางพิจารณาคดีฟังได้ว่า ที่นาพิพาทเดิมเป็นของนายคลิ้งเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์จำเลยต่างเป็นบุตรนายคลิ้งนายคลิ้งตายเมื่อ พ.ศ. 2495

ข้อที่นำสืบโต้เถียงกันคือว่า นาพิพาทนายคลิ้งได้ยกให้โจทก์หรือจำเลย และฝ่ายใดเป็นคนครอบครองนาพิพาท ข้อนี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีหลักฐานอย่างใด คงมีแต่พยานบุคคลมาสืบ กับจำเลยยังนำสืบว่านายคลิ้งได้ทำพินัยกรรมยกนาพิพาทให้จำเลยอีก พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม คดีได้ความตามคำพยานโจทก์เองว่า โจทก์ได้ให้จำเลยเช่านาพิพาททำ 3 ปีก่อนฟ้อง คือใน พ.ศ. 2495, 2496 และ 2497 แต่จำเลยคงชำระค่าเช่าเพียงปีแรกปีเดียว ปีต่อมาจำเลยไม่ให้อ้างว่า นายคลิ้งทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้จำเลยแล้ว ฉะนั้นแม้ถึงหากจะฟังว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์ ๆ ให้จำเลยเช่าทำก็ดีก็ต้องถือว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยโต้แย้งสิทธิในที่รายนี้แล้วแต่โจทก์หาได้ฟ้องเพื่อเอาคืน ซึ่งการครอบครองเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองไม่โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เถียงแย่งสิทธิการครอบครองกับโจทก์ หากแต่เถียงไม่ใช้ค่าเช่าให้นายช่วยและยังไม่เกิน 1 ปีก่อนฟ้องนั้นเป็นกล่าวฝืนคำพยานในสำนวน เพราะปรากฏตามคำเบิกความของนายช่วยพยานโจทก์ว่า จำเลยบอกนายปลอด (โจทก์) เมื่อ 2 ปีมาแล้วว่า นายคลิ้งทำพินัยกรรมยกนาพิพาทให้จำเลย นายปลอดไปเก็บค่าเช่า จำเลยจึงบอกและได้ความตามคำนายแสวง พนักงานที่ดินอำเภอพยานโจทก์ว่าเมื่อ 2-3 ปีมานี้ จำเลยเคยยื่นคำร้องต่ออำเภอขอจำนองที่นาพิพาทกับสหกรณ์ โจทก์ร้องคัดค้านได้เปรียบเทียบให้แบ่งกัน จำเลยไม่ตกลงอำเภอจึงสั่งให้โจทก์ไปฟ้อง แสดงว่าโจทก์ได้ทราบดีถึงการโต้แย้งสิทธิในที่พิพาทของจำเลยต่อโจทก์ มาก่อนฟ้องคดีนี้กว่า 1 ปีแล้วแม้จะได้ความว่า ก่อนคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทนี้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย ตามสำนวนคดีดำที่90/2497 แดงที่ 2/2498 ซึ่งการถอนฟ้องเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ถือว่า ทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย เมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่น ๆ ต่อไป ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นจึงพิพากษายืน ให้โจทก์เสียค่าทนายความชั้นฎีกา 75 บาท แทนจำเลย

Share