คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6934/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้คัดค้านชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นตัวแทนในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 แล้ว ผู้คัดค้านย่อมฟ้องเรียกเงินที่ชำระไปแทนจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาตัวแทนได้ แม้การเป็นตัวแทนจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จึงต้องถือว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 ด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากที่มีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายแล้ว โดยผู้คัดค้านหักเงินที่ผู้คัดค้านชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 จากราคาที่ต้องชำระ จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2ให้เปรียบแก่ผู้คัดค้าน อันเป็นการกระทำที่อาจเพิกถอนได้ตามมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฯ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแปลงหนึ่งให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยที่ 2ล้มละลาย ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว หากผู้คัดค้านไม่โอนคืนให้ถือคำสั่งศาลแทนการแสดงของผู้คัดค้าน

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านได้รับโอนทรัพย์พิพาทโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ทั้งไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนตามมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หากไม่สามารถโอนคืนได้ให้ผู้คัดค้านใช้ราคาเป็นเงิน 2,706,720 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ผู้คัดค้านอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน

ผู้คัดค้านฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาดเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน จำเลยที่ 2หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 เป็นน้องชายของผู้คัดค้านได้มาติดต่อขอให้ผู้คัดค้านช่วยเหลือโดยขอให้ผู้คัดค้านชำระหนี้แทน ผู้คัดค้านจึงชำระหนี้แทนไป 3 ครั้ง ตามเอกสารหมาย ร.8 ถึง ร.10 ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ไปนั้น แม้จะไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินก็ตามก็ถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นตัวแทนในการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารกสิกรไทยจำกัด แทนจำเลยที่ 1 แล้ว ผู้คัดค้านย่อมฟ้องเรียกเงินที่ผู้คัดค้านชำระหนี้แทนจากจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งเป็นการฟ้องในมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทนแม้การเป็นตัวแทนจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม จำเลยที่ 1 กับผู้คัดค้านจึงมีนิติสัมพันธ์กันมาก่อนแล้ว อันเป็นการก่อสิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ต่อไป จึงถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 แล้วเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้น โดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 ประกอบมาตรา 1087 จึงถือได้ว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 2โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านในวันที่ 18 สิงหาคม 2531หลังจากที่มีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายแล้ว โดยจำเลยที่ 2 ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านหักเงินที่ผู้คัดค้านชำระแทนไปจำนวน 311,700 บาท และจำเลยที่ 2 รับเงินส่วนที่เหลือไปและเนื่องจากผู้ร้องรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้เพียง 10,394 บาท ขณะที่จำนวนหนี้ทั้งหมดที่ศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 เป็นเงินถึง 29,949,426.04 บาทการที่จำเลยที่ 2 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีไปโอนชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านโดยเฉพาะ จึงเป็นการให้เปรียบแก่ผู้คัดค้านและทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบเพราะเจ้าหนี้อื่นไม่มีโอกาสได้รับชำระหนี้โดยเฉลี่ยจากทรัพย์สินที่โอนไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงมีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนการโอนทรัพย์สินรายนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 โดยไม่ต้องพิจารณาว่าผู้รับโอนได้รับโอนโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share