คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างโจทก์มีวัตถุประสงค์จำหน่ายข้าวสารและเป็นนายหน้าและตัวแทนค้าต่างในกิจการทุกประเภทในการติดต่อขายข้าวให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศทางห้างโจทก์เสนอราคาขายข้าวโดยบวกค่าระวางบรรทุก ค่าประกันและค่านายหน้ารวมเข้าไปด้วย แต่โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศ และไม่ได้ขออนุญาตต่อทางราชการได้ความว่าโรงสีเป็นผู้ขออนุญาตส่งข้าวไปขายต่างประเทศเป็นผู้ขออนุญาตนำเงินตราต่างประเทศเท่าราคาข้าวที่ขายเข้ามาในประเทศ ทั้งเป็นผู้ปฏิบัติตามพิธีการส่งออกของกรมศุลกากร เสียภาษีศุลกากร ค่าพรีเมี่ยม และภาษีการค้าข้าว กระสอบบรรจุข้าวส่งไปขายต่างประเทศก็มีตราของผู้ซื้อประทับอยู่ แสดงว่าโรงสีรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ซื้อตัวจริงในต่างประเทศโจทก์อ้างว่าโรงสีขายข้าวให้โจทก์ แต่การซื้อขายไม่มีการวางมัดจำหรือทำสัญญาซื้อขายข้าวกันโจทก์ไม่มีโกดังเก็บข้าวเองเมื่อโรงสีส่งมอบข้าวแล้วโจทก์ยังไม่ชำระเงินค่าข้าวประกอบกับเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ผู้ซื้อในต่างประเทศส่งมาชำระค่าข้าวนั้นโจทก์จะรับเอาทั้งหมดไม่ได้คงรับได้เฉพาะส่วนที่เป็นผลประโยชน์ของโจทก์เองเท่านั้นพฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ทำการเป็นนายหน้าหรือตัวแทน หรือรับจัดธุรกิจจัดการให้โรงสีและผู้ซื้อในต่างประเทศได้ซื้อขายกันแม้บางเดือนมีการขาดทุนเพราะคำนวณค่าใช้จ่ายผิดพลาดบ้างการกระทำของโจทก์ก็เข้าลักษณะเป็นการประกอบการค้าประเภทนายหน้าตามประมวลรัษฎากรหาใช่โจทก์เป็นผู้ขายข้าวส่งต่างประเทศเองไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1388/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ประกอบการค้าส่งออกพืชไร่และข้าวสารไปจำหน่ายต่างประเทศ พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์ทำการเป็นนายหน้า ตัวแทน แต่ยื่นภาษีการค้าไว้เฉพาะสินค้าพืชไร่ ส่วนค่านายหน้ามิได้ยื่นเสียภาษีจึงประเมินเรียกเก็บเพิ่มรวมทั้งเบี้ยปรับ สำหรับปี 2507 และ 2508 รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 426,950.97 บาท โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีการค้าดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์ไม่มีหน้าที่เสียภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง โจทก์เป็นพ่อค้าคนกลางขายข้าวสารให้ผู้ซื้อในต่างประเทศประกอบการค้าในนามของโจทก์เอง รับผลกำไรขาดทุนเป็นของโจทก์ ไม่ได้กระทำการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนให้แก่บุคคลใด การที่จำเลยประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าสำหรับค่านายหน้าจากโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 และยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เสีย

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าในการขายข้าวสารไปยังต่างประเทศ เพียงแต่เป็นคนกลางติดต่อให้มีการซื้อขายกัน จึงเป็นนายหน้าหรือตัวแทนผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้ผู้ซื้อในต่างประเทศกับโรงสีได้ซื้อขายข้าวสารกันและโจทก์ได้รับบำเหน็จในการนี้ โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับค่านายหน้าตามที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมาย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของโจทก์เป็นการประกอบการค้าประเภทนายหน้าและตัวแทนตามประมวลรัษฎากร จำเลยที่ 1 ประเมินภาษีให้โจทก์เสียภาษีและเบี้ยปรับตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ห้างโจทก์มีวัตถุประสงค์จำหน่ายข้าวสารส่งข้าวสารไปจำหน่ายต่างประเทศ เป็นนายหน้าและตัวแทนค้าต่างในกิจการทุกประเภท โจทก์ส่งข้าวไปขายต่างประเทศหรือจัดการให้พ่อค้าในต่างประเทศซื้อขายข้าวสารจากประเทศไทย โดยสำรวจราคาข้าวสารในท้องตลาดแล้วเสนอราคาไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศ เมื่อผู้ซื้อตกลง โจทก์ก็แจ้งให้ผู้ซื้อเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตมาให้ในนามของโจทก์ ต่อจากนั้นโจทก์จะติดต่อบริษัทเดินเรือว่าจ้างบรรทุกข้าวสารไปยังต่างประเทศกับติดต่อโรงสีโดยเสนอราคารับซื้อข้าวในราคาที่รวมถึงการปฏิบัติตามพิธีการทางศุลกากร และค่าใช้จ่ายในการส่งมอบข้าวให้โจทก์บนเรือ (เอฟ.โอ.บี) หลังจากนำข้าวสารบรรทุกเรือแล้ว ธนาคารก็จะจ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้โจทก์ แต่โจทก์ต้องสั่งธนาคารจ่ายเงินค่าข้าวให้แก่โรงสีก่อน ส่วนที่เหลือจึงจะจ่ายให้โจทก์ปัญหามีว่า โจทก์ได้ทำการค้าข้าวส่งออกไปขายต่างประเทศในฐานะนายหน้าหรือตัวแทน หรือเป็นผู้ขายเอง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ห้างโจทก์นอกจากจะได้จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์จำหน่ายข้าวแล้ว ยังเป็นนายหน้าและตัวแทนค้าต่างในกิจการทุกประเภทด้วยจากการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่เพื่อประเมินภาษี ผู้จัดการห้างโจทก์ให้การว่า การติดต่อขายข้าวให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ ทางห้างเสนอราคาขายข้าวโดยบวกค่าระวางบรรทุก ค่าประกันภัย และค่านายหน้ารวมเข้าไปด้วยผู้ที่จะส่งข้าวไปขายต่างประเทศได้จะต้องจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์และต้องขออนุญาตส่งข้าวไปขายต่างประเทศ แต่โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ส่งออกไปขายต่างประเทศและไม่ได้ขออนุญาตต่อทางราชการกลับได้ความว่าโรงสีเป็นผู้ขอโควต้าและขออนุญาตส่งข้าวไปขายต่างประเทศเอง ทั้งเป็นผู้ขออนุญาตนำเงินตราต่างประเทศเท่าราคาข้าวที่ขายเข้ามาในประเทศ เป็นผู้ปฏิบัติตามพิธีการส่งออกของกรมศุลกากร เสียภาษีศุลกากร เสียค่าพรีเมี่ยมข้าว และภาษีการค้าข้าว ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการขนข้าวลงเรือ หากโจทก์เป็นผู้ขายให้ผู้ซื้อในต่างประเทศเองแล้ว โจทก์ย่อมจะเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าวเองทั้งสิ้น โจทก์อ้างว่าได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวกับโรงสีแต่ไม่ส่งอ้างสัญญาเป็นพยานต่อศาล โจทก์ไม่มีโกดังเก็บข้าวเอง กระสอบบรรจุข้าวส่งไปขายต่างประเทศก็มีตราของผู้ซื้อในต่างประเทศประทับ แสดงว่าโรงสีรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ซื้อตัวจริงในต่างประเทศประกอบกับเมื่อโรงสีส่งมอบข้าวให้โจทก์แล้ว โจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าข้าว น่าจะแสดงว่าโจทก์รับมอบข้าวในฐานะตัวแทนหรือผู้จัดธุรกิจให้กับโรงสีและผู้ซื้อในต่างประเทศเท่านั้น และเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ผู้ซื้อในต่างประเทศส่งมาชำระค่าข้าวนั้น โจทก์จะรับเอาทั้งหมดไม่ได้ คงรับได้เฉพาะส่วนที่เป็นผลประโยชน์ของโจทก์เองเท่านั้น พฤติการณ์เหล่านี้แสดงว่าโจทก์เพียงแต่ทำการเป็นนายหน้าจัดการให้โรงสีและผู้ซื้อในต่างประเทศได้ซื้อขายกัน การค้าประเภทนายหน้าและตัวแทนตามประมวลรัษฎากรนั้นรวมถึงการรับจัดธุรกิจให้ผู้อื่นด้วย จึงอาจมีการขาดทุนได้เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ผิดพลาดไป การกระทำของโจทก์เข้าลักษณะเป็นการประกอบการค้าประเภทนายหน้าตามประมวลรัษฎากร หาใช่โจทก์เป็นผู้ขายข้าวส่งต่างประเทศเองไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1388/2509

พิพากษายืน

Share