แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยส่งเอกสารต่อศาลโดยไม่ส่งสำเนาให้โจทก์ ครั้นโจทก์คัดค้านว่าไม่ควรรับฟัง จำเลยแถลงว่าต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการจะได้หมายเรียกต้นฉบับมาแต่แล้วจำเลยก็มิได้ขอให้ศาลหมายเรียกมาเมื่อเอกสารที่จำเลยส่งศาลเป็นสำเนา ซึ่งไม่มีเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจรับรองว่าถูกต้องกับต้นฉบับ จึงรับฟังไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
จำเลยเดินรถรับส่งคนโดยสารเที่ยวกลับช่วงหนึ่งทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ เฉพาะทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 12 ถึง 19 น. ทั้งนี้ เนื่องจากตามวันเวลานั้นเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศให้รถเดินทางเดียวในถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ในเส้นทางสัมปทานของจำเลยเมื่อได้ความว่าในกรณีเช่นนี้ไม่มีข้อบังคับให้จำเลยต้องรายงานต่อกรมการขนส่งทางบกเพื่อประกาศเปลี่ยนเส้นทางให้ถูกต้องเสมอไป โดยหากไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงานและจำเลยก็ได้เดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เพียง 1 กิโลเมตรเศษทั้งปรากฏว่าโจทก์เองก็ต้องเปลี่ยนไปเดินรถทับเส้นทางเดินรถของผู้อื่นโดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบเช่นกันการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองในกรณีนี้จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จำเลยมิได้เจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์โดยพลการโจทก์เองก็เพิ่งร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกหลังจากจำเลยเดินรถทับเส้นทาง 3 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกหาได้ไม่ แต่เมื่อกรมการขนส่งทางบกได้สั่งให้จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางของโจทก์ตามที่โจทก์ร้องเรียนแล้วจำเลยยังเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไปอีก แม้เพราะจำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อปลัดกระทรวงคมนาคมอยู่ก็ตามแต่เมื่อต่อมาปลัดกระทรวงคมนาคมได้สั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นละเมิดต่อโจทก์ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นจากวันจำเลยได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก จนถึงวันสุดท้ายที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ ตามจำนวนวันเสาร์ในระยะนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกตั้งแต่ พ.ศ. 2498ให้เป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งประจำทางโดยรถยนต์โดยสารบนเส้นทางสายที่ 16หมวด 1 จากเตาปูนไปตามถนนกรุงเทพ – นนทบุรี ไปสุดปลายทางที่หัวถนนสุรวงศ์จำเลยเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารบนเส้นทางสายที่ 21 จากบางประกอบสุดปลายทางที่หน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการวิ่งรับส่งผู้โดยสารทับเส้นทางสัมปทานของโจทก์ในวันเสาร์ที่มีการแข่งม้า ระหว่างเวลา 12 ถึง 19 น. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดรายได้ที่ควรได้โดยโจทก์ขอคิดค่าเสียหายเพียง 1 ปี เป็นเงิน124,800 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 124,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามไม่ให้จำเลยนำรถประจำทางสายที่ 21 วิ่งรับส่งผู้โดยสารทับเส้นทางของโจทก์ให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์สัปดาห์ละ 2,400 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะหยุดทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยให้การว่าเส้นทางเดินรถของโจทก์ตามฟ้องไม่ถูกต้องความจริงในวันเสาร์ครึ่งวันที่มีการแข่งม้า เจ้าพนักงานปิดถนนอังรีดูนังต์เปิดให้รถเดินได้ทางเดียว คือให้เข้าทางถนนพระราม 1 ออกทางถนนพระราม 4 รถของจำเลยได้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพญาไทวนมาเข้าถนนอังรีดูนังต์ทางด้านถนนพระราม 1ได้ถือปฏิบัติเช่นนี้โดยสงบเรียบร้อยมาประมาณ 10 ปีแล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานและโจทก์รู้เห็นยินยอม คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 และการที่โจทก์ละเลยสิทธิของตนมาตั้ง 10 ปีเช่นนี้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 223 วรรคสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5 เป็นสำเนาเอกสารจำเลยไม่ได้อ้างต้นฉบับเป็นพยานและเอกสารหมาย ล.6, ล.7 เป็นเอกสารอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยไม่ส่งสำเนาให้ศาลและโจทก์ก่อนวันสืบพยาน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้และฟังว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ คดียังไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์รวม 15,984 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี รวม16 จำนวน แต่ละจำนวนในต้นเงิน 999 บาท นับแต่วันเสาร์ที่ 8, 15, 22, 29มกราคม 2515 วันเสาร์ที่ 5, 12, 19, 26 กุมภาพันธ์ 2515 วันเสาร์ที่ 4, 11,18, 25 มีนาคม 2515 และวันเสาร์ที่ 1, 8, 15, 22 เมษายน 2515 เป็นต้นไปตามลำดับ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดถอยหลังไป 1 ปี นับแต่วันฟ้องรวมมีวันเสาร์ 51 วัน เป็นเงิน 50,949 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 นี้ จำเลยส่งศาลโดยไม่ส่งสำเนาให้โจทก์ โจทก์จึงแถลงคัดค้านว่าไม่ควรรับฟัง จำเลยแถลงว่าต้นฉบับเอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของทางราชการ จะได้หมายเรียกต้นฉบับมาประกอบ แต่จำเลยก็มิได้ขอให้ศาลหมายเรียกต้นฉบับมาศาลตามที่แถลงและเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 นี้เป็นสำเนาเอกสาร ไม่มีเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจรับรองว่าถูกต้องกับต้นฉบับ จึงรับฟังเป็นพยานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
ในปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อเจ้าพนักงานจราจรได้ออกประกาศกำหนดให้รถเดินทางเดียวในถนนอังรีดูนังต์ตลอดสาย โดยให้เข้าจากถนนพระราม 1 ออกถนนพระราม 4ตั้งแต่เวลา 12 นาฬิกา ถึง 19 นาฬิกา และให้รถประจำทางเปลี่ยนเส้นทางเดินรถชั่วคราวตามประกาศกรมการขนส่งทางบก ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511เป็นต้นไปแล้วนั้น ไม่มีระเบียบให้กรมการขนส่งทางบกทราบประกาศของเจ้าพนักงานจราจรอย่างไร แต่ได้ความว่าในทางปฏิบัติกรมตำรวจจะส่งคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรนี้มาให้กรมการขนส่งทางบกพิจารณาเพื่อเปลี่ยนเส้นทางเดินรถประจำทาง และบริษัทจำเลยก็ต้องรายงานให้กรมการขนส่งทางบกทราบด้วย แต่เรื่องนี้กรมตำรวจและบริษัทจำเลยมิได้แจ้ง เห็นว่าทางปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่ข้อบังคับที่จำเลยจะต้องปฏิบัติเสมอไป หากการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถชั่วคราวไม่มีการโต้แย้งกันก็ไม่ต้องรายงานให้กรมการขนส่งทางบกทราบ นายสนองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็เบิกความว่า เมื่อมีการปิดเส้นทางเดินรถตอนใดตอนหนึ่ง คณะกรรมการขนส่งเคยมีมติให้รถประจำทางที่เดินผ่านเส้นทางนั้นพยายามหาทางเดินให้เข้าสู่เส้นทางนั้นตามเส้นทางที่ใกล้ที่สุด และปรากฏว่าเมื่อมีคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร รถประจำทางของจำเลยต้องเปลี่ยนเส้นทางทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ โดยเฉพาะเที่ยวกลับก็คือเส้นทางเดินรถเที่ยวไปของจำเลยนั่นเองโดยทับเส้นทางเดินรถของโจทก์เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ส่วนรถโจทก์เที่ยวกลับก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปทับเส้นทางเดินรถประจำทางของบริษัทอื่นเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรเศษเช่นเดียวกัน แต่บริษัทนั้นมิได้ร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบก ทั้งโจทก์และจำเลยต่างเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเอง โดยมิได้แจ้งให้กรมการขนส่งทางบกทราบ การที่จำเลยและโจทก์เปลี่ยนเส้นทางเดินรถเอาเองเนื่องจากมีคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรให้เดินรถทางเดียวชั่วคราวในถนนอังรีดูนังต์ในวันเสาร์ที่มีการแข่งม้านั้น จึงเป็นเรื่องอะลุ้มอะล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน จำเลยมิได้มีเจตนาจงใจเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์โดยพลการ โจทก์เพิ่งจะมาร้องเรียนต่อกรมการขนส่งทางบกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม2514 หลังจากที่จำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ 3 ปีเศษ และกรมการขนส่งก็เพิ่งมีหนังสือสั่งให้ จำเลยเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่ไม่ให้ทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2515 เป็นต้นไป ส่วนรถโจทก์กรมการขนส่งทางบกก็เพิ่งมีคำสั่งให้เดินตามเส้นทางที่โจทก์เปลี่ยนเอาเองดังกล่าวได้เช่นกัน นายสุจินต์พยานโจทก์ ซึ่งเคยเป็นหัวหน้ากองตรวจการขนส่ง กรมการขนส่งทางบก ก็เบิกความแต่เพียงว่า จำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกตามหนังสือลงวันที่ 30 ธันวาคม 2514 เท่านั้น ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าก่อนวันที่ 1 มกราคม 2515 จำเลยเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์โดยฝ่าฝืนคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก จำเลยได้รับหนังสือของกรมการขนส่งทางบกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2515 แต่ยังคงเดินรถตามเส้นทางเดิมต่อไป เพราะได้อุทธรณ์ไปยังอธิบดีกรมการขนส่งทางบกและปลัดกระทรวงคมนาคม เมื่อได้รับหนังสือของปลัดกระทรวงคมนาคมลงวันที่ 25 เมษายน 2515 ซึ่งสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบกแล้ว จำเลยก็เลิกเดินรถทับเส้นทางเดินรถของโจทก์ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2515 จึงเป็นเวลาที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2515 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2515 รวม 16 วันเสาร์
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 พฤษภาคม 2515 คดีไม่ขาดอายุความ ส่วนค่าเสียหายเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการเหมาะสมแล้ว แต่ดอกเบี้ยนั้นคำขอท้ายฟ้องของโจทก์คงขอตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ดอกเบี้ยให้คิดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์