คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25 มิใช่บทบังคับว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเข้าว่าคดีแพ่งอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ทุกเรื่องเสมอไป ในกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้เข้าว่าคดีแพ่งซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยเฉพาะหนี้ที่ไม่มีประกันแล้ว โจทก์กลับอุทธรณ์ฎีกาโดยไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย จนเป็นเหตุให้ล่วงเลยกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้นั้น ย่อมต้องถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์ดังกล่าวเนื่องมาจากความผิดของโจทก์เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ภายในวงเงิน 1,500,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ที่ 3ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันไว้กับโจทก์และเพิ่มวงเงินจากจำนองอีก 5 ครั้ง โจทก์แจ้งให้ชำระหนี้เลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แจ้งบังคับจำนองและไถ่ถอนการจำนอง จำเลยเพิกเฉย จำเลยที่ 1 เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีจนถึงวันฟ้อง 2,735,699 บาท 11 สตางค์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1ได้ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ 7 ฉบับ รวมเป็นเงิน 850,000 บาทโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัล จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผิดนัด เมื่อคิดรวมกับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงิน 1,141,084 บาท 39 สตางค์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและตั๋วสัญญาใช้เงินรวมเป็นเงิน 3,876,783 บาท 50 สตางค์พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3จัดการไถ่ถอนจำนองที่ดิน ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้ขายที่ดินที่จำนองเอาเงินชำระหนี้ หากยังไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำแถลงว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ถูกฟ้องในคดีล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับหมายทราบวันนัดแล้ว แต่มิได้เข้าสู้คดีแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทั้งมิได้แถลงให้ศาลทราบประการใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกันของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว โจทก์มีทางจะได้รับชำระหนี้ก็โดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้เข้ามาสู้คดีแทนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 ต่อไป ให้จำหน่ายคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับหนี้ค้ำประกันและอาวัลนั้น โจทก์ไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน จึงให้จำหน่ายคดีเช่นเดียวกัน แต่ในส่วนที่จำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะผู้จำนอง โจทก์อยู่ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้ ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินรวม 5 โฉนดตามฟ้องเป็นเงิน 2,890,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดที่ 2481 เป็นเงิน 110,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดที่ 8821, 8822 เป็นเงิน 450,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1ที่ 2 ไม่ไถ่จำนองที่ดินดังกล่าวข้างต้นให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้จำนองที่ดินแปลงใด ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้มาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 จะบัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แต่เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วตามมาตรา 27บัญญัติว่า เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้วแต่คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาก็ตาม ดังนี้ จึงเป็นที่เห็นได้ว่าเมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เด็ดขาดแล้ว ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาในคดีแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขอให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีแพ่งสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยไม่ต่อสู้คดี แล้วขอให้โจทก์ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เช่นนี้ก็ย่อมทำได้ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่เข้ามาในคดีแทนจำเลยที่ 1ที่ 2 แม้ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยไม่สั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกัน สำหรับจำเลยที่ 2 ในส่วนที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกัน หากโจทก์ชนะคดี โจทก์ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อยู่นั่นเอง ฉะนั้น ความในมาตรา 25 ดังกล่าวจึงไม่ใช่บทบังคับว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเข้าว่าคดีแพ่งอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ทุกเรื่องเสมอไป ส่วนข้อที่ว่าเมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดี และต่อมาล่วงเลยกำหนดเวลาแล้วที่โจทก์จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย สิทธิของโจทก์อันจะพึงได้รับตามกฎหมายจะหมดไป โจทก์ได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 แล้ว (คดีสำหรับจำเลยที่ 2 เฉพาะหนี้ที่ไม่มีประกัน) โจทก์กลับอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์ไม่ปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายอันเป็นเหตุให้ล่วงเลยกำหนดเวลาขอรับชำระหนี้นับว่าเป็นความผิดของโจทก์เอง ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share