แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจว่ารถจักรยานถูกขโมยไป ไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย ต่อมาจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์เป็นคนร้าย โดยตนเห็นและได้ไล่ติดตามโจทก์ในคืนเกิดเหตุด้วย เช่นนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบังอาจเอาข้อความซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าโจทก์เป็นคนร้ายลักรถจักรยานของจำเลยที่ 1 ไป ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ให้จำคุกไว้คนละ 15 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามเบ็ดเสร็จรายวันของสถานีตำรวจภูธรเมืองลำพูนว่า จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่า ตื่นขึ้นเวลา 5 น.ลงไปดูรถจักรยานไม่เห็น ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้ายลักไปจ่านายสิบตำรวจบุญมี ซึ่งทำหน้าที่นายร้อยเวรผู้รับแจ้งความจากจำเลยที่ 1 เป็นพยานให้การว่า จำเลยที่ 1 ว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย พยานได้ถามว่าสงสัยใครไหม จำเลยที่ 1 ก็ว่า ไม่รู้ ดังนี้ หากจำเลยที่ 1 ได้ฉายไฟเห็นโจทก์เป็นคนลักรถจักรยานของจำเลยที่ 1 ไปจริงดังที่ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนต่อมา จำเลยที่ 1 ก็น่าจะได้ระบุชื่อโจทก์ว่าเป็นคนร้ายต่อเจ้าพนักงานในวันที่ไปแจ้งความนั้นแล้วไม่ปรากฏว่ามีความจำเป็นอย่างใดที่จะต้องปิดชื่อคนร้ายไว้อีกข้อหนึ่งจำเลยแจ้งความว่า ตื่นขึ้นเวลา 5 น. เห็นรถหายไปแต่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าคนร้ายมาลักรถไปเวลาราวเที่ยงคืนตามข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าวมานี้เชื่อว่าจำเลยทั้งสองคนมิได้รู้ว่าใครเป็นคนร้ายลักรถจักรยานของจำเลยที่ 1 ไป เพราะตื่นขึ้นก็เห็นรถหายไปเสียแล้ว จึงได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่ารถจักรยานถูกคนร้ายลักไป ไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย ฉะนั้นที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเห็นโจทก์เป็นคนร้ายลักรถจักรยานของจำเลยไปจึงเป็นการแจ้งความเท็จ ต้องมีความผิด
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น