แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในทางแพ่งนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่า สิทธิฟ้องร้องที่อาจมีได้หลายทางนั้นโจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่งเมื่อโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีเอง
โจทก์พักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 คนขับรถของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไปเพื่อเลื่อนรถโจทก์ที่ขวางทางรถคันอื่น ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 2 รับกุญแจรถไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 การที่คนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ไปนี้ จึงมิใช่ความผิดของบริวารของโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจรถดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดอุบัติเหตุทำให้รถโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เช่าพักอาศัยในโรงแรมของจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งนำรถเก๋งหนึ่งคันฝากจอดไว้ในบริเวณที่จอดรถของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้กระทำโดยประมาทไม่ดูแลรักษารถยนต์ดังกล่าว ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ร่วมกันนำรถยนต์ขับออกจากบริเวณที่จอดไป แล้วจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถพลิกคว่ำเสียหาย รวมค่าเสียหายและดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 125,485 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยชำระ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์มิได้นำรถยนต์ฝากไว้ในที่สำหรับจอดรถของโรงแรม โจทก์ให้เด็กรับใช้ของโรงแรมนำรถไปล้างเป็นการติดต่อระหว่างโจทก์กับเด็กรับใช้เอง จำเลยที่ 1 ไม่รับผิดชอบ เด็กรับใช้ไม่มีหน้าที่ขับขี่รถยนต์และไม่ได้รับมอบหมายให้ขับขี่ จึงเป็นการกระทำนอกเหนือจากงานที่จ้าง จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ขับรถโจทก์ไปเกิดอุบัติเหตุ เป็นการกระทำในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิด พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 122,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 มิใช่กระทำในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดี ตามคำให้การและข้อนำสืบของจำเลยไม่พอฟังว่าความเสียหายของรถโจทก์เกิดแต่ความผิดของโจทก์เองหรือบริวารของโจทก์จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อแรกจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ทำการค้าประเภทโรงแรมให้บริการและเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมระยองโอตานี่ จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นลูกจ้างและทำการในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ปฏิเสธ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย เห็นว่าในทางแพ่งนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่าสิทธิฟ้องร้องที่อาจมีได้หลายทางนั้น โจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง เมื่อโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีเอง การที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับคดี ก็โดยอาศัยคำบรรยายฟ้องของโจทก์และข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง ศาลอุทธรณ์ยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674, 675 มาปรับคดีชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อต่อมาจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากนายเจตวัชซึ่งเป็นคนขับรถยนต์และเป็นผู้ดูแลรักษากุญแจรถยนต์ของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้กับลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จึงเท่ากับว่าความเสียหายนั้นเกิดจากบริวารของโจทก์เองจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดนั้น ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบรับฟังได้ว่านายเจตวัชคนขับรถยนต์ของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้กับนายเกษมจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไป แล้วจำเลยที่ 2 ใช้กุญแจดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปบ้านเพ เสร็จธุระแล้วขับกลับโรงแรม ระหว่างทางได้เกิดอุบัติเหตุรถแฉลบลงข้างทางจนได้รับความเสียหาย ปัญหาวินิจฉัยมีว่า การที่นายเจตวัชคนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์ได้มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 ได้ใช้กุญแจดังกล่าวขับรถของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดความเสียหายนั้น จำเลยที่ 1 จะพ้นจากความรับผิดหรือไม่ นายเวียงชัยพยานโจทก์ซึ่งเดินทางไปกับโจทก์และพักอยู่ในห้องเดียวกับนายเจตวัชที่โรงแรมของจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ขณะที่นอนอยู่เวลาประมาณเที่ยงคืนพนักงานรับใช้ของโรงแรมมาเคาะประตูเรียกขอกุญแจรถจากนายเจตวัชไปเลื่อนรถเพราะรถขวางทางรถคันอื่น นายเจตวัชก็มอบกุญแจรถให้ไป ต่อมาราวตี 4 หรือตี 5 จึงทราบว่าพนักงานรับใช้ของโรงแรมขับรถไปคว่ำ โจทก์เบิกความว่าคืนนั้นเวลาประมาณตี 4 นายเจตวัชมาบอกว่าพนักงานรับใช้ของโรงแรมขับรถของโจทก์ออกไปคว่ำ โจทก์ถามว่าทำไมจึงเอารถออกไปได้ นายเจตวัชบอกว่าเมื่อราวเที่ยงคืนมีพนักงานรับใช้ของโรงแรมมาเคาะประตูเรียก ขอกุญแจรถไปเลื่อนรถเพราะรถขวางทางในบริเวณที่จอดรถ นายเจตวัชจึงมอบกุญแจให้ไป จำเลยที่ 1 ก็นำสืบรับว่าที่หลังโรงแรมมีลานจอดรถสำหรับบริการแขกปกติจะมีรถจอดเต็ม นายทองใบพยานจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานรับใช้ของโรงแรมเบิกความว่า บริเวณลานจอดรถของโรงแรมมีรถของแขกจอดขวางทางรถคันอื่นอยู่บ่อย ๆ รถแขกที่อยู่ข้างในจะออก บางทีต้องขยับรถที่ขวางอยู่ข้างนอก เจ้าหน้าที่ของโรงแรมจะจัดการให้รถเข้าออก นายประจวบพยานจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานรับใช้ของโรงแรมอีกคนหนึ่งเบิกความว่า ในกรณีรถแขกจอดขวางทางรถคันอื่น ปกติจะไปเรียกแขกมาขยับรถแต่ถ้าแขกส่งมอบกุญแจรถให้เอาไปขยับเอง พนักงานรับใช้ของโรงแรมก็จะเอากุญแจรถไปขับขยับเลื่อนรถซึ่งเป็นการบริการแขก เป็นการสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์และนายเจตวัชให้น่าเชื่อว่านายเจตวัชมอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานรับใช้ของโรงแรมไปเพื่อเลื่อนรถโจทก์ที่ขวางทางรถคันอื่น ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 2 รับกุญแจรถไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่นายเจตวัชคนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์ได้มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไป จึงมิใช่ความผิดของนายเจตวัชซึ่งเป็นบริวารของโจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกาแต่เพียงว่าเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากนายเจตวัชซึ่งเป็นคนขับรถยนต์และเป็นผู้ดูแลรักษากุญแจรถยนต์ของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้กับลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จึงเท่ากับว่าความเสียหายนั้นเกิดจากบริวารของโจทก์เอง จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด แต่ก็มิได้โต้แย้งว่านายเจตวัชคนขับรถของโจทก์มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ 2 ไปเพื่อประโยชน์ของโจทก์หรือนายเจตวัชเอง ไม่เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 จะใช้กุญแจรถนั้นปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจรถดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดอุบัติเหตุทำให้รถโจทก์ได้รับความเสียหาย จึงฟังไม่ได้ว่าความเสียหายเกิดจากนายเจตวัชบริวารของโจทก์เอง จำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นจากความรับผิด
พิพากษายืน