คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 713/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความตามมาตรา 914 ตอนท้ายที่ว่า “ได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว” เป็นบทบัญญัติให้ผู้ทรงหรือผู้สลักหลังคนหลังซึ่งถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงินหรือเช็คซึ่งออกมาแต่ต่างประเทศและตั๋วแลกเงินหรือเช็คนั้นถูกปฏิเสธไม่รับรองหรือไม่ใช้เงินกระทำเพื่อให้มีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังคนก่อน ๆ ใช้เงินตามตั๋วหรือเช็คนั้นแก่ตนโดยบัญญัติวิธีการไว้ในมาตรา 960 ถึง 964 ส่วนเช็คพิพาทในคดีนี้เป็นเช็คออกในประเทศ เป็นตั๋วให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม ไม่ต้องยื่นให้รับรองและมีการคัดค้าน จึงนำมาตรา 914 ตอนท้ายมาบังคับไม่ได้ตามมาตรา 989วรรคแรก โจทก์ผู้ทรงไม่เสียสิทธิที่จะเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยที่ 2 ผู้สั่งจ่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งได้มาจากจำเลยที่ 1 สลักหลังมอบชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 42,000 บาท

จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าได้รับเช็คตามฟ้องมาและได้ชำระหนี้ให้โจทก์จริง แต่ไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเอาจากจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่เคยทวงถามให้ชำระหนี้ ไม่เสียหายตามฟ้อง ถึงเสียหายก็ไม่ต้องรับผิดเพราะเช็คไม่ใช่ของจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 จะได้สลักหลังเช็คให้โจทก์หรือไม่ ไม่รับรองจำเลยที่ 2 ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คพิพาท เช็คพิพาทเป็นเช็คฉบับหนึ่งในสามฉบับซึ่งนางสมนึกขอยืมไปจากจำเลยที่ 2 ตามที่นางสมนึกตกลงกับจำเลยที่ 2 ให้นำภาพยนตร์ที่นายอนุชาถ่ายทำไปฉายในจังหวัดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากที่นายอนุชาตกลงไว้กับภรรยาจำเลยที่ 2 แต่นายอนุชาไม่ได้ถ่ายทำภาพยนตร์ จำเลยที่ 2จึงอายัดเช็คทั้งหมด ดังนั้น ถ้านายอนุชาหรือนางสมนึกจะได้สลักหลังเช็คพิพาทให้จำเลยที่ 1 ก็เป็นการสมคบกันฉ้อฉล จำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเอาเงินตามเช็ค ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เรียกได้เพียงดอกเบี้ยนับจากวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์นำเช็คไปยื่นต่อธนาคารพ้นกำหนด 6 เดือน นับแต่วันออกเช็คดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 ไม่สั่งระงับการจ่ายธนาคารก็ต้องปฏิเสธการจ่ายอยู่นั่นเองฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่แนบสำเนาแสดงการสลักหลังเช็คพิพาทท้ายฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม ฟังไม่ได้ว่าโจทก์สมคบกับจำเลยที่ 1ฉ้อฉลจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยกข้อตกลงระหว่างนายอนุชาและนางสมนึกมาอ้างต่อสู้โจทก์ไม่ได้ ธนาคารไม่จ่ายเงินเพราะจำเลยที่ 2 สั่งระงับการจ่าย ไม่ปรากฏว่าการที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปยื่นขอรับเงินเกิน 6 เดือน ทำให้เกิดความเสียหายอย่างใดแก่จำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่สิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 1 และเสียสิทธิอันมีต่อจำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2518 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2518 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์เสียสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินตามเช็คจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเพราะโจทก์มิได้ทำให้ถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่มีการรับรองหรือไม่จ่ายเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 914 ตอนท้ายโดยมิได้นำเช็คไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินภายในกำหนด6 เดือนนั้น เห็นว่าข้อความตามกฎหมายที่จำเลยที่ 2 อ้างมามิได้หมายความดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกา ทั้งเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวนี้เป็นบทบัญญัติให้ผู้ทรงหรือผู้สลักหลังคนหลังซึ่งถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงินหรือเช็คที่ออกมาแต่ต่างประเทศ และตั๋วแลกเงินหรือเช็คนั้นถูกปฏิเสธไม่รับรอง หรือไม่ใช้เงิน กระทำเพื่อให้มีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังคนก่อน ๆ ใช้เงินตามตั๋วแลกเงินหรือเช็คนั้นแก่ตนโดยบัญญัติวิธีการไว้ในมาตรา 960, 961, 962, 963 และ 964 แต่โดยเหตุที่วิธีการตามบทบัญญัติดังกล่าว ขัดกับสภาพแห่งเช็คอันเป็นตราสารที่พิพาทกันในคดีนี้ซึ่งเป็นเช็คออกในประเทศ อันเป็นตั๋วให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม ไม่ต้องยื่นให้มีการรับรองและไม่ต้องมีการคัดค้านเมื่อไม่ใช้เงิน จึงนำมาตรา 914 ตอนท้ายมาบังคับในคดีนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามมาตรา 989 วรรคแรก ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์หาเสียสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกามาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 300 บาทแทนโจทก์

Share