คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกนั้นหมายถึงอยู่ในความครอบครองของบุคคลซึ่งมิใช่คู่ความในคดี แม้บุคคลนั้นจะเป็นหลานและอยู่ในครอบครัวเดียวกับจำเลยก็จะถือว่าเอกสารนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยไม่ได้จำเลยจึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่โจทก์ก่อนวันนัดสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2)

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจำนองที่ดินกู้เงินโจทก์ไป 25,000 บาท ดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือน แล้วไม่ชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ได้บอกกล่าวให้จำเลยไถ่ถอนแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 41,562.50 บาท และดอกเบี้ยในอัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือนในต้นเงิน 25,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระก็ให้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองชำระหนี้แทน

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยผ่อนชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นหลายปีมาแล้ว จำเลยเคยบอกว่าให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับการไถ่ถอนจำนองหลายครั้ง โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์ไปจดทะเบียนรับการไถ่ถอนจำนองให้จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยชำระหนี้โจทก์ จำเลยจะนำสืบการชำระหนี้ไม่ได้ต้องห้ามตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้โจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามขอ หากไม่ชำระก็ให้ขายทรัพย์จำนองชำระหนี้แทน ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ด้วยเช็คเป็นการเสร็จสิ้นแล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามฟ้องแย้ง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์นำสืบว่าตั้งแต่จำเลยทำสัญญาจำนองกู้เงินโจทก์ไป จำเลยเคยส่งดอกเบี้ยทางธนาณัติให้โจทก์3 คราว ๆ ละ 500 บาท กับชำระด้วยเช็คเงิน 1,000 บาทอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นฝ่ายจำเลยนำสืบว่านอกจากจะชำระค่าดอกเบี้ยทางธนาณัติแล้ว เมื่อปลายปีพ.ศ. 2516 ได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนแล้วโดยเช็คธนาคารกรุงเทพ 4 ฉบับ คือ ฉบับเงิน 1,000 บาท ที่โจทก์ว่าได้รับไปแล้วนั้นฉบับหนึ่ง และฉบับละ 12,000 บาท อีก 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 37,000 บาท โดยนางสาวสติยา สุวรรณทีป เป็นผู้นำเช็คดังกล่าวไปชำระหนี้แทน ตามใบรับเอกสารหมาย ล.2 และโจทก์ได้รับเงินตามเช็ค 4 ฉบับนั้นแล้ว

ข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า ศาลไม่ควรรับเอกสารหมาย ล.2 เป็นพยานหลักฐานการชำระหนี้ด้วยเช็คของจำเลย เพราะเป็นเพียงภาพถ่ายหรือสำเนา ที่จำเลยไม่ได้ส่งต้นฉบับและสำเนาให้โจทก์ก่อนวันนัดสืบพยาน ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เอกสารหมาย ล.2 นางสาวสติยาสุวรรณทีป เป็นผู้นำส่งตามหมายเรียกของศาล แม้นางสาวสติยา สุวรรณทีปจะเป็นหลานอยู่ในครอบครัวเดียวกับจำเลย และเป็นผู้ที่จำเลยอ้างว่าเป็นคนนำเช็คของจำเลยไปชำระหนี้แทนจำเลยก็ตาม แต่นางสาวสติยา สุวรรณทีป ก็หาใช่คู่ความในคดีไม่คงถือได้ว่าเป็นบุคคลภายนอกอยู่นั่นเองจะให้ถือเสมือนว่าเอกสารหมาย ล.2 อยู่ในความครอบครองของจำเลยดังโจทก์อ้างไม่ได้ จำเลยจึงไม่จำต้องส่งสำเนาเอกสารก่อนวันนัดสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ส่วนปัญหาข้อต่อไปว่า จะรับฟังเอกสาร ล.2 ว่าเป็นหลักฐานการชำระหนี้ของจำเลยได้หรือไม่นั้น โจทก์รับแต่เพียงว่าได้รับเช็คเพียงฉบับเดียวเงิน 1,000 บาท ส่วนเช็คอีก 3 ฉบับ ๆ ละ 12,000 บาท ไม่เคยได้รับ ลายมือชื่อในเอกสารหมาย ล.2 ก็ไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบฟังไม่ได้ว่าเอกสารหมาย ล.2 เป็นหลักฐานการรับเช็คที่โจทก์ทำให้ไว้กับจำเลยดังข้อต่อสู้ พยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แต่เมื่อโจทก์รับว่าได้รับชำระดอกเบี้ยที่ค้างจากจำเลยไปแล้ว 2,500 บาท ดังนั้น ดอกเบี้ยที่ค้างชำระถึงวันฟ้องคงเหลือ 14,062.50 บาท

พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 39,062.50 บาทแก่โจทก์ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share