แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินยอมผ่อนเวลาให้กับผู้ออกตั๋วนั้นไม่เป็นเหตุให้ผู้รับอาวัลหลุดพ้นจากความรับผิด เพราะผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกันจึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเช่นเดียวกับผู้ออกตั๋ว และไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันตามหลักทั่วไปในเรื่องค้ำประกัน
ผู้รับอาวัลสั่งจ่ายเช็คจำนวนหนึ่งผ่อนชำระหนี้ให้แก่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นการรับสภาพหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น และย่อมเป็นเหตุให้อายุความสดุดหยุดลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินและได้ทำหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับโจทก์ว่า จะจ่ายเงิน 100,000 บาทแก่โจทก์ภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้ทำหนังสือรับรอง หากผิดนัดยอมใช้เงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับรองเป็นอาวัลรับประกันใช้เงินทั้งหมดดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองไม่ใช้เงินให้โจทก์ตามกำหนด เมื่อทวงถามได้ใช้ให้บางส่วนเป็นเงิน 52,000 บาท เมื่อหักออกจากเงิน 100,000 บาทโดยรวมดอกเบี้ยอีก 15,000 บาทที่จำเลยจะต้องชำระแล้ว คงค้างอีก 63,000 บาท ขอศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน 63,000 บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 26,775 บาท รวมเป็นเงิน 89,775 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท 25 สตางค์ต่อเดือนในต้นเงิน 63,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ขายตั๋วสัญญาใช้เงินและได้ทำหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัลจริง แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือนเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยชำระดอกเบี้ยเกินไป 9,750 บาท คงเหลือต้นเงินและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระจริง ๆ เพียง 60,125 บาท โจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าวและคิดบัญชีการชำระหนี้กับจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เป็นผู้รับอาวัลตามฟ้องจริง แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไม่มีหนี้สินต่อกันจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 50,000 บาท ขอผ่อนชำระโดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ทำหลักฐานกันเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 100,000 บาท เป็นการค้ำประกันไปในตัว จำเลยที่ 2 ค้ำประกันหนี้อันมีกำหนดแน่นอนแต่โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอมหรือรู้เห็นด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมพ้นความรับผิด ทั้งฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่กฎหมายกำหนดไว้จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยที่ค้างและไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วคืน จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้ให้โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 48,000 บาท ก่อนฟ้องโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามแล้ว คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน48,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้จำเลยทั้งสองใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ 48,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่ ตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่าโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ตกลงด้วยจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในเรื่องตั๋วเงินนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 903 บัญญัติว่า “ในการใช้เงินตามตั๋วเงินท่านมิให้ให้วันผ่อน” และในเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น มาตรา 985 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยตั๋วแลกเงินตามมาตรา 940 และ 967 มาใช้บังคับด้วย มาตรา 940 วรรคแรกบัญญัติว่า “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน” และมาตรา 967 วรรคแรกบัญญัติว่า “ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้นบรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดี รับรองก็ดี สลักหลังก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดีย่อมร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง” วรรคสองบัญญัติว่า “ผู้ทรงย่อมมีสิทธิว่ากล่าวเอาความแก่บรรดาบุคคลเหล่านี้เรียงตัวหรือรวมกันก็ได้ โดยมิพักต้องดำเนินตามลำดับที่คนเหล่านั้นมาต้องผูกพัน” เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงินและหนังสือรับรองการขายตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาท จำเลยที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่อาจจะถูกบังคับให้ชำระหนี้เมื่อใดก็ได้ เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นถึงกำหนดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันตามหลักทั่วไปในลักษณะค้ำประกัน จึงจะนำบทบัญญัติมาตรา 700 ที่บัญญัติว่า “ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอนและเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด” มาใช้บังคับไม่ได้ เพราะบัญญัติความรับผิดต่างกันดังเช่นตามมาตรา 688 บัญญัติว่า “เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้” และมาตรา 689 บัญญัติว่า “ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน” ฐานะของผู้รับอาวัลกับผู้ค้ำประกันจึงผิดกัน ดังนั้นแม้จะได้ความว่าโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ตกลงด้วย จำเลยที่ 2 ก็ยังต้องรับผิดอยู่ ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อต่อมาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 บัญญัติว่า “ในคดีฟ้องผู้รับรองตั๋วแลกเงินก็ดีผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็ดี ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลา 3 ปีนับแต่วันตั๋วนั้น ๆ ถึงกำหนดใช้เงิน” ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทถึงกำหนดใช้เงินวันที่ 23 พฤศจิกายน 2513 โจทก์มาฟ้องเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2517 เป็นเวลาหลังจากตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินเกินกว่า 3 ปีแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์กล่าวในฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2514 จำเลยทั้งสองผ่อนใช้เงินให้โจทก์ 52,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้โจทก์แล้ว 52,000 บาท แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ซึ่งนำสืบก่อนเบิกความว่า จำเลยที่ 1 จะชำระเงินให้โจทก์หรือไม่ไม่ทราบ ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2517 ก่อนโจทก์ฟ้อง จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 ยังชำระเงินให้โจทก์ไม่ครบจากหนังสือของโจทก์มิได้ปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยชำระเงินให้โจทก์ โจทก์นำสืบว่าเงินจำนวน 52,000 บาทที่ได้รับผ่อนชำระเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2514 นั้น จำเลยที่ 2 เป็นคนนำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาศรีย่าน เลขที่ 759095 จำนวนเงิน 52,000 บาทมาชำระให้โจทก์ปรากฏตามสำเนาใบรับเงินเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งมีข้อความว่า ได้รับชำระค่าตั๋วสัญญาใช้เงินจากคุณไพบูลย์ อารีชนะ (จำเลยที่ 2) และส่วนลดจำนวน 52,000 บาท แม้โจทก์จะเพิ่งส่งเอกสารหมาย จ.3 เป็นพยานเมื่อว่าที่ร้อยตรีชรัตน์ นาคศุภรังษี พยานโจทก์เบิกความ โดยมิได้ส่งให้จำเลยที่ 2 ดูขณะเบิกความเพื่อซักค้านก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้คัดค้านการอ้างเอกสารฉบับนี้ว่าไม่ถูกต้องและไม่ควรรับฟัง ทั้งในฎีกาของจำเลยที่ 2 ยังรับว่าเช็คฉบับดังกล่าวจำเลยที่ 1 ขอยืมไปจากจำเลยที่ 2 และการที่มีชื่อจำเลยที่ 2 ในเอกสารหมาย จ.3 ก็ในฐานะเจ้าของเช็คเท่านั้น จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คฉบับนี้จำนวนเงิน 52,000 บาทผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ เป็นการรับสภาพหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาท จึงทำให้อายุความสดุดหยุดลงและตั้งต้นนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2514 ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 24 พฤศจิกายน 2517 โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2517 จึงยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน