แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 5 ปี รวม 2 กระทงจำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
เงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเฮโรอีนที่จำเลยได้กระทำผิดครั้งก่อนการกระทำผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนในคดีนี้ มิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2)ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบเงินดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2539 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1บรรจุอยู่ในห่อกระดาษจำนวน 8 ห่อ และบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกจำนวน 1 หลอด น้ำหนักรวม 0.370 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนจำนวน 2 ห่อ น้ำหนักไม่ปรากฏชัด อันเป็นส่วนหนึ่งของเฮโรอีนที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปในราคา 200 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานครเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 2 ฉบับ ที่ใช้ในการล่อซื้อ เฮโรอีนที่เหลือจากการจำหน่ายให้แก่สายลับจำนวน 2 ห่อ และ 1 หลอด เฮโรอีนที่จำเลยทั้งสองจำหน่ายให้แก่สายลับจำนวน 2 ห่อ เงินจำนวน 1,070 บาท อันเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองได้มาโดยร่วมกันกระทำความผิดและแผ่นกระดาษจำนวน 4 แผ่น อันเป็นทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 66, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบเฮโรอีนพร้อมห่อกระดาษและหลอดพลาสติก เงินจำนวน 1,070 บาท แผ่นกระดาษจำนวน 4 แผ่น ของกลางและคืนธนบัตรจำนวน 200 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 8 เดือน ริบเฮโรอีนพร้อมห่อกระดาษและหลอดพลาสติก รวมทั้งเงินจำนวน 1,070 บาท ซึ่งได้จากการจำหน่ายเฮโรอีน และแผ่นกระดาษจำนวน 4 แผ่น ของกลาง คืนธนบัตรจำนวน 200 บาท ที่ใช้ในการล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปีฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 5 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2ไม่ได้ร่วมกระทำความผิด เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนเงินจำนวน 1,070 บาท ของกลาง ที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งริบนั้นเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ได้มาจากการจำหน่ายเฮโรอีนก่อนการจำหน่ายในคดีนี้จึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 ได้มาโดยได้กระทำความผิดในคดีนี้ตามความแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) แม้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งริบในคดีนี้ได้ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบเงินจำนวน 1,070 บาทของกลางนั้น จึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอริบเงินของกลางจำนวน 1,070 บาทของโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 2