คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3061/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของกรมสรรพสามิตจำเลยซึ่งกำหนดให้ผู้ประมูลแข่งขันเพื่อรับการแต่งตั้งเป็นผู้รับการทำและขายส่งสุราขาวผสมประเภทเสียภาษีรายเทต้องเสนอจะชำระค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นรายเทโดยผู้เสนอค่าธรรมเนียมพิเศษสูงสุดจะเป็นผู้ประมูลได้นั้น มิใช่การกำหนดอัตราภาษีหรืออัตราค่าธรรมเนียมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 47(1) แห่งพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 จึงไม่จำต้องออกเป็นกฎกระทรวง
อ.เป็นผู้ประมูลได้โดยเสนอจะชำระค่าธรรมเนียมพิเศษเทละ429.89 บาท และโจทก์รับโอนสิทธิหน้าที่ตามสัญญาจากอ. เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิทำสุราในโรงงานและใช้อุปกรณ์การผลิตของจำเลยได้ โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนอย่างอื่น ทั้งมีสิทธิจำหน่ายสุราแต่ผู้เดียวภายในเขตการจำหน่ายได้ผลประโยชน์ระยะยาวถึง 10 ปี ดังนี้ ค่าธรรมเนียมพิเศษดังกล่าว จึงมิใช่ภาษีหรือค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติสุรา แต่เป็นเงินค่าตอบแทนที่ให้แก่รัฐในการที่รัฐให้สิทธิพิเศษตามนัยที่กล่าวแล้ว ทั้งมิใช่เงินที่จำเลยเรียกเก็บนอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสุราพ.ศ.2493 และเป็นความสมัครใจของผู้เข้าประมูลเองที่ยอมให้ค่าตอบแทนแก่รัฐตามจำนวนที่เสนอในการยื่นประมูล จึงไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ ฉะนั้น ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า ค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นโมฆะจึงมีการออกกฎกระทรวงการคลังฉบับที่ 59(2518) นำเอาค่าธรรมเนียมพิเศษจำนวนหนึ่งมาเพิ่มเป็นค่าภาษีสุรา เป็นการใช้กฎหมายรับรองสิ่งที่เป็นโมฆะ ภาษีสุราที่เพิ่มขึ้นตกเป็นโมฆะไปด้วย จึงย่อมเป็นอันตกไป เพราะค่าธรรมเนียมพิเศษมิได้เป็นโมฆะดังที่โจทก์อ้าง
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมพิเศษมาเป็นวิธีกำหนดจำนวนน้ำสุราให้โจทก์นำออกขายเพื่อเสียภาษีเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 77,391 เท โดยโจทก์สมัครใจเอง เมื่อโจทก์เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการตั้งโรงงานทำสุราเพื่อจำหน่ายและทำการค้าสุราทุกชนิด จึงอยู่ในวิสัยที่โจทก์จะทำและขายส่งสุราตามวัตถุประสงค์ของสัญญาได้ ส่วนต่อมาจะทำหรือขายได้ตามจำนวนที่ตกลงกันหรือไม่ เป็นเรื่องขึ้นอยู่กับความสามารถของโจทก์ในการดำเนินการ โจทก์เป็นพ่อค้าสุราย่อมมีความรู้พอที่จะคำนวณเรื่องการทำและขายสุราได้ก่อนที่จะเข้าทำสัญญากับจำเลยแสดงว่าโจทก์ต้องรู้ข้อเท็จจริงตั้งแต่แรกว่าทำได้ โจทก์จึงมาโต้แย้งว่าวัตถุประสงค์ที่ทำสัญญากับจำเลยเป็นเรื่องพ้นวิสัยหาได้ไม่
โจทก์ถือว่าโจทก์มีสิทธิที่จะไม่ต้องชำระค่าปรับตามสัญญาจึงไม่ชำระค่าปรับให้จำเลย การโต้แย้งสิทธิอยู่ที่การไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์มาฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ไม่ต้องชำระหนี้ เท่ากับให้แสดงว่าโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์ชอบจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีเมื่อโจทก์ถูกจำเลยฟ้องให้ชำระหนี้ดังกล่าวเท่านั้น หาใช่เป็นผู้ฟ้องคดีเสียเองไม่ โจทก์ยังมีสิทธิที่จะไม่ชำระหนี้ในเมื่อเห็นว่าตนไม่ต้องรับผิด จึงไม่มีการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ศาลย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ส่วนในเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่ง แสดงว่าโจทก์ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับฐานทำสุราต่ำกว่ากำหนดและขอคืนค่าปรับที่ชำระไปแล้วนั้นมีข้อโต้เถียงกันว่าสัญญาเป็นโมฆะโจทก์จึงไม่ต้องรับผิด และมีสิทธิขอคืนเงินส่วนที่ชำระให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้ จึงมีการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นที่ต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาในการรับทำและขายส่งสุรา ในเขตจำหน่ายของโรงงานสุราปราจีนบุรี โดยโจทก์รับโอนสิทธิและหน้าที่มาจากนายอนันต์ จำเลยได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษในการทำและขายสุราจากโจทก์โดยไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มีลักษณะเป็นภาษีอากรเถื่อนขัดต่อความสงบเรียบร้อยและเป็นโมฆะต่อมาจำเลยซึ่งทราบอยู่แล้วว่าไม่มีอำนาจที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษดังกล่าว จึงออกกฎกระทรวงฉบับที่ 59 (2518) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 47 เพิ่มอัตราภาษีสุราและลดค่าธรรมเนียมพิเศษลงเท่ากับภาษีสุราและภาษีมหาดไทยที่เพิ่มขึ้นซึ่งโจทก์ถูกบังคับให้เสียค่าธรรมเนียมพิเศษไปแล้วเป็นเงิน 17,605,100 บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินจำนวนนี้คืน และหลังจากที่ออกกฎกระทรวงดังกล่าวแล้วจำเลยเปลี่ยนวิธีจากการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษมาเป็นกำหนดจำนวนน้ำสุราที่รับทำแต่ละเดือนโดยเพิ่มจำนวนน้ำสุราให้มากขึ้นเพื่อหาประโยชน์จากค่าปรับภาษีสุราที่ผู้รับทำการทำและขายสุราไม่สามารถทำได้ตามจำนวนที่กำหนด ซึ่งโจทก์จำต้องปฏิบัติตามเพราะลงทุนทำสุราไว้เป็นจำนวนมากแล้ว แต่ก็เป็นการพ้นวิสัย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นโมฆะจึงได้บอกเลิกสัญญากับจำเลย ซึ่งในการนี้จำเลยได้เรียกค่าปรับจากโจทก์เป็นเงิน 5,650,000 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าธรรมเนียมพิเศษและค่าปรับที่โจทก์ชำระไปแล้วกับมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิปรับโจทก์ฐานชำระภาษีสุราต่ำกว่ากำหนดในสัญญาประจำเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 และไม่มีสิทธิปรับโจทก์ฐานเลิกสัญญา

จำเลยทั้งสองให้การว่า ค่าธรรมเนียมพิเศษตามฟ้องไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน กฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 59 (2518) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 โดยชอบด้วยกฎหมาย และข้อกำหนดในสัญญาที่ให้โจทก์ทำสุราเพื่อเสียภาษีรายเท หากทำและเสียต่ำกว่ากำหนดยอมให้ปรับนั้น โจทก์สมัครใจเข้าผูกพันทำสัญญาเอง เป็นเหตุผลเฉพาะตัวโจทก์และสามารถปฏิบัติได้ไม่พ้นวิสัยที่จะตกเป็นโมฆะเมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์ก็ต้องเสียค่าปรับโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน และไม่มีสิทธิขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิปรับโจทก์ทั้งในฐานทำสุราไม่ครบจำนวนและในการเลิกสัญญา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับประเด็นข้อแรกที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่าคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 32838/2517 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2517 เป็นการกำหนดวิธีการเงื่อนไขและข้อกำหนดในการทำสุราตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ต้องออกเป็นกฎกระทรวงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งที่ 32838/2517 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประมูลเสนอจะชำระค่าธรรมเนียมพิเศษ มิใช่การกำหนดอัตราภาษีหรืออัตราค่าธรรมเนียมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 47(1) แห่งพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 จึงไม่จำต้องออกเป็นกฎกระทรวง ที่โจทก์ฎีกาตามประเด็นนี้ต่อไปว่า คำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าวมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษตามรายเทเป็นลักษณะอย่างเดียวกับการเรียกเก็บภาษีสุราตามรายเท ซึ่งพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มิได้ให้อำนาจที่จะเรียกเก็บได้ จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตกเป็นโมฆะ จำเลยต้องคืนเงินค่าธรรมเนียมพิเศษที่ได้รับไปจากโจทก์จำนวน 17,605,100.75 บาท ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคำสั่งจำเลยที่ 2 ที่ 32838/2517 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2517 กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการประมูลเพื่อแต่งตั้งผู้รับทำและขายส่งสุราขาวผสม โรงงานสุรา กรมสรรพสามิตโดยให้ผู้เสนอเงินค่าธรรมเนียมพิเศษสูงสุดมีสิทธิได้รับพิจารณาเป็นผู้ประมูลได้ อันมุ่งหมายจะวางระเบียบให้กรมสรรพสามิตจำเลยที่ 1 คัดเลือกเพื่อแต่งตั้งผู้รับใบอนุญาตทำสุราในโรงงานสุรา กรมสรรพสามิต โดยวิธีประมูลเงินค่าธรรมเนียมพิเศษรายเท เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตให้ทำสุราตามพระราชบัญญัติสุรา ค่าธรรมเนียมพิเศษตามคำสั่งจำเลยที่ 2 ไม่มีกำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีสุราและค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 ผู้เข้าประมูลเป็นฝ่ายเสนอเองว่าจะชำระเงินค่าธรรมเนียมพิเศษให้กรมสรรพสามิตจำเลยที่ 1 รายเทเป็นเงินเทละเท่าใดโดยจำเลยมิได้เรียกร้องกำหนดอัตราขั้นต่ำของเงินค่าธรรมเนียมพิเศษไว้เป็นเรื่องของผู้เข้าประมูลพิจารณากำหนดขึ้นเอง เจตนาของผู้เข้าประมูลที่เสนอค่าธรรมเนียมพิเศษให้สูงก็เพื่อต้องการจะตัดผู้เข้าประมูลแข่งขันรายอื่นให้ตนได้สิทธิเข้าทำสัญญาเป็นผู้รับทำการทำและขายส่งสุราในโรงงานสุราของกรมสรรพสามิต เพราะผู้เข้าประมูลได้ทราบระเบียบแล้วว่าผู้เสนอค่าธรรมเนียมพิเศษสูงสุดจะได้รับพิจารณาให้เป็นผู้ประมูลได้ นายอนันต์ยื่นประมูลทำการทำและขายส่งสุรารายนี้โดยทราบแจ้งความของกรมสรรพสามิตและคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 32838/2517 ตลอดจนสัญญาสำหรับโรงงานแห่งนี้เป็นที่เข้าใจดีแล้วจึงเสนอจะชำระค่าธรรมเนียมพิเศษให้กรมสรรพสามิตเป็นเงินเทละ 429.89 บาท ดังที่ปรากฏในเอกสารการยื่นประมูลหาย ล.5 เป็นผู้เสนอค่าธรรมเนียมพิเศษรายเทสูงสุดจึงได้เข้าทำสัญญารับทำการทำและขายส่งสุราโรงงานสุรา กรมสรรพสามิต จังหวัดปราจีนบุรี แล้วโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาให้โจทก์ ปรากฏตามสัญญาที่ทำไว้กับกรมสรรพสามิตจำเลยที่ 1 โจทก์มีสิทธิทำสุราในโรงงานสุราของจำเลย ด้วยการใช้โรงงานตลอดจนอุปกรณ์การผลิตสุราและบรรดาทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยไม่ต้องเสียเงินค่าตอบแทนอย่างอื่น ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงานสุราของตนเอง ยังมีสิทธิเปลี่ยนแปลงขยายเพิ่มเครื่องจักรในการทำสุราด้วย และมีสิทธิจำหน่ายสุราภายในเขตการจำหน่ายได้ผลประโยชน์ระยะยาวถึง 10 ปี การเปิดประมูลเพื่อพิจารณาแต่งตั้งผู้รับใบอนุญาตทำและขายส่งสุราย่อมมีความหมายเข้าใจกันได้ในตัวว่า จะได้สิทธิในการทำและจำหน่ายสุราภายในเขตแต่ผู้เดียวตลอดอายุสัญญา พยานที่โจทก์นำสืบก็เบิกความว่าโจทก์ได้สิทธิพิเศษในการจำหน่ายสุรา ส่วนในสัญญาหมาย จ.ล.2 ข้อ 25 ที่ระบุว่าไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะอนุญาตให้บุคคลอื่นทำและขายสุราก็คงจะใช้ในกรณีที่โจทก์ทำสุราไม่พอความต้องการ ดังนั้น ค่าธรรมเนียมพิเศษนี้จึงมิใช่ภาษีหรือค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติสุราแต่เป็นเงินค่าตอบแทนที่ให้แก่รัฐในการที่รัฐให้สิทธิพิเศษตามนัยที่กล่าวมาแล้ว มิใช่เงินที่จำเลยเรียกเก็บนอกเหนือไปจากที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 และเป็นความสมัครใจของผู้เข้าประมูลเองที่ยอมให้ค่าตอบแทนแก่รัฐตามจำนวนที่เสนอในการยื่นประมูล จึงไม่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังที่โจทก์อ้าง โจทก์เองก็คงรู้ดีว่าเงินค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นค่าตอบแทน จึงมีการเสนอประมูลให้จำนวนเงินสูงตัดผู้เข้าประมูลแข่งขันรายอื่นแล้วหวังจะมาหาทางเจรจากับจำเลยให้มีการลดจำนวนเงินลงภายหลังเมื่อได้สิทธิเข้าทำสัญญาดังที่กล่าวอ้างในฎีกา

โจทก์ฎีกาในประเด็นข้อ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ตระหนักอยู่ว่าค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นโมฆะจึงออกกฎกระทรวงฉบับที่ 59 (2518) นำเอาค่าธรรมเนียมพิเศษจำนวนหนึ่งมาเพิ่มเป็นค่าภาษีสุรา เป็นการใช้กฎหมายรับรองสิ่งที่เป็นโมฆะ ภาษีสุราที่เพิ่มขึ้นตกเป็นโมฆะไปด้วย ขณะที่จำเลยทำสัญญาไว้กับนายอนันต์นั้นภาษีสุราที่นำมาคำนวณเป็นต้นทุนและราคาขายเทละ 53.20 บาท แต่จำเลยปรับโจทก์ฐานทำสุราไม่ครบตามอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นโดยโจทก์ไม่มีสิทธิขึ้นราคาสุรามาชดเชยไม่ชอบด้วยความยุติธรรม โจทก์ชอบที่จะได้เงินค่าปรับที่เสียเกินไปกว่าอัตราภาษีเดิมคืน ศาลฎีกาเห็นว่าที่โจทก์อ้างว่าอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นตามกฎกระทรวงการคลังฉบับที่ 59(2518) เป็นโมฆะ เพราะเป็นกฎหมายที่ออกมารับรองค่าธรรมเนียมพิเศษที่ตกเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้แล้วว่าค่าธรรมเนียมพิเศษดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่เป็นโมฆะดังนั้น ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวย่อมเป็นอันตกไป คงมีปัญหาว่าจำเลยปรับโจทก์ตามอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น เป็นการชอบหรือไม่พิจารณาข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.ล.2 ในข้อ 9 โจทก์ซึ่งเข้าเป็นคู่สัญญาแทนนายอนันต์ยอมเสียเงินค่าภาษีสุราตามอัตราที่กำหนดไว้ กับยอมเสียค่าปรับฐานทำสุราเสียเงินค่าภาษีต่ำกว่ากำหนดเป็นเงินเท่ากับค่าภาษีสุราที่ต่ำกว่ากำหนดนั้น และข้อ 17.1 มีความว่า ผู้รับอนุญาตยอมปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับและคำสั่งอันเกี่ยวกับกิจการสุราของจำเลยทั้งสองที่ออกใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่จะพึงออกใช้ในภายหน้าโจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องชำระภาษีสุราตามกฎกระทรวงการคลังฉบับที่ 59(2518) ไม่มีเหตุที่จะทำให้เข้าใจว่าจำเลยแปลงค่าธรรมเนียมพิเศษบางส่วนมาเพิ่มเป็นค่าภาษีสุราดังที่โจทก์อ้าง การกำหนดราคาสุราตามสัญญาก็ตกลงกันไว้ในข้อ 8 ว่าต้องไม่สูงกว่าราคาตามบันทึกข้อตกลงแบบท้ายสัญญา ไม่มีเงื่อนไขที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาจะต้องอนุญาตให้โจทก์เพิ่มราคาให้สูงขึ้นแต่อย่างใด การที่จำเลยปรับโจทก์ตามอัตราภาษีสุราที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ให้โจทก์เพิ่มราคาสุราจึงไม่ผิดสัญญาหรือไม่ชอบอย่างใด โจทก์จะเรียกเอาค่าปรับภาษีสุราส่วนที่เกินอัตราภาษีเดิมจำนวน 3,163,615.84 บาท คืนจากจำเลยหาได้ไม่

โจทก์ฎีกาในประเด็นข้อ 3 ว่า การเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นวิธีกำหนดจำนวนน้ำสุราให้โจทก์นำออกขายเพื่อเสียภาษีเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 77,391 เท ตามสัญญาหมาย จ.ล.4 มีวัตถุประสงค์พ้นวิสัยที่จะทำได้ ซึ่งคู่สัญญาต่างก็รู้กันอยู่แล้ว สัญญาจึงตกเป็นโมฆะ ศาลฎีกาเห็นว่าตามฎีกาโจทก์ถือว่าวัตถุประสงค์ของสัญญาซึ่งทำกับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.ล.4 เป็นการพ้นวิสัย ข้อนี้ปรากฏว่าโจทก์เองสมัครใจโดยพิจารณาแล้วได้ทำหนังสือตามเอกสารหมาย ล.9 แสดงความประสงค์ไปยังจำเลยที่ 1 ขอเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมพิเศษเป็นจำนวนน้ำสุราเพื่อเสียภาษี โจทก์จำเลยจึงทำสัญญาดังกล่าวเพิ่มเติมขึ้น โจทก์ยอมรับในฎีกาว่าวัตถุประสงค์แห่งสัญญานี้คือการทำและขายส่งสุราเมื่อโจทก์เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการจัดตั้งโรงงานทำสุราเพื่อจำหน่าย และทำการค้าสุราทุกชนิดจึงอยู่ในวิสัยที่โจทก์จะทำและขายส่งสุราตามวัตถุประสงค์ของสัญญาได้ โจทก์ก็ได้เข้ารับช่วงกิจการทำและขายส่งสุรารายนี้ทำมาแล้ว 5 เดือน โจทก์ซึ่งเป็นพ่อค้าสุราย่อมมีความรู้ความสามารถพอจะคิดคำนวณเรื่องการทำและขายส่งสุราได้ก่อนที่จะเข้าทำสัญญาตกลงกับจำเลยที่ 1 ส่วนต่อมาจะทำหรือขายได้ตามจำนวนที่ตกลงกันหรือไม่ เป็นเรื่องขึ้นอยู่กับความสามารถของโจทก์ในการดำเนินการต่อไป การเสนอของโจทก์เช่นนั้นแสดงว่าโจทก์ต้องรู้ข้อเท็จจริงตั้งแต่แรกว่าทำได้ โจทก์จะมาฎีกาโต้แย้งอ้างว่าวัตถุประสงค์ที่ทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องพ้นวิสัย รับฟังไม่ได้ โจทก์ต้องชำระเงินค่าปรับฐานทำสุราไม่ครบตามจำนวนที่ค้างอยู่ หากชำระไปแล้วก็ไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเรียกคืน

สำหรับประเด็นข้อ 4 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงสิทธิว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ค่าปรับในการเลิกสัญญาเป็นจำนวนเงิน 5,650,000 บาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระค่าปรับและเรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาที่ทำไว้ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ถือว่าโจทก์มีสิทธิที่จะไม่ต้องชำระหนี้ค่าปรับตามสัญญา จึงไม่ชำระค่าปรับให้จำเลย การโต้แย้งสิทธิอยู่ที่การไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์มาฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ไม่ต้องชำระหนี้ เท่ากับให้แสดงว่าโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์ชอบจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีเมื่อโจทก์ถูกจำเลยฟ้องให้ชำระหนี้ดังกล่าวเท่านั้น หาใช่เป็นผู้ฟ้องคดีเสียเองไม่ โจทก์ยังมีสิทธิที่จะไม่ชำระหนี้ในเมื่อเห็นว่าตนไม่ต้องรับผิด จึงไม่มีการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าในกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับฐานทำสุราต่ำกว่ากำหนดยังได้รับการวินิจฉัยนั้น ก็เพราะมีข้อโต้เถียงกันว่าสัญญาเป็นโมฆะโจทก์ไม่ต้องรับผิดในเรื่องเงินค่าปรับฐานทำสุราไม่ครบ และมีสิทธิขอคืนเงินส่วนที่ได้ชำระให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้จึงมีการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ซึ่งต่างกับประเด็นข้อนี้

เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินคืนตามที่เรียกร้องก็ไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยประเด็นตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์อย่างไร

พิพากษายืน

Share