คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลตัดพยานโจทก์ปากผู้เสียหายเพราะไม่สามารถนำพยานมาศาล แต่เมื่อการพิจารณายังไม่เสร็จ โจทก์เอาตัวผู้เสียหายมาศาลได้ก่อนสืบพยานจำเลย กรณีไม่ใช่โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานปากนี้แล้ว โจทก์ไม่หมดสิทธิที่จะสืบพยานปากนี้ โจทก์พยายามนำพยานปากนี้มาสืบ เมื่อผู้เสียหายไม่มาก็แถลงว่าผู้เสียหายหลีกเลี่ยง ศาลออกหมายจับผู้เสียหาย และโจทก์แถลงว่าผู้เสียหายเป็นพยานคู่กับ ร.ต.ท. ภ. แสดงว่าโจทก์มิได้เอาเปรียบจำเลยในการดำเนินคดีแต่อย่างใด

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อกฎหมายที่ว่า ศาลสั่งตัดพยานโจทก์แล้วภายหลังนำมาสืบอีกขัดต่อวิธีพิจารณาความ ทำให้จำเลยเสียเปรียบหรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาที่จำเลยฎีกาขึ้นมานี้ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2524 โจทก์แถลงว่าผู้เสียหายได้รับหมายเรียกโดยชอบแล้ว ไม่มาศาลมีเจตนาหลีกเลี่ยง ส่วนร้อยตำรวจโทภาณุเดช ซึ่งเป็นพยานคู่กับผู้เสียหายมาศาลทนายจำเลยค้านว่าหากสืบพยานจะเสียเปรียบแก่จำเลย ศาลจึงให้เลื่อนคดีไปและให้ออกหมายจับผู้เสียหาย ในวันสืบพยานโจทก์นัดต่อมาเมื่อ 14 กรกฎาคม 2524 โจทก์แถลงว่า ทั้งผู้เสียหายและร้อยตำรวจโทณุเดชไม่มาศาล ขอเลื่อนคดี ทนายจำเลยขอให้ศาลตัดพยานปากผู้เสียหายและในนัดหน้าถ้าพยานปากไหนไม่มาก็ให้ตัดด้วย ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีไป โดยให้โจทก์ติดตามผู้เสียหายมาเบิกความอีกครั้ง ในวันนัดสืบพยานโจทก์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2524 โจทก์ยังไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความศาลจึงสั่งตัดพยานปากนี้และสืบพยานโจทก์ไปจนหมด แล้วเลื่อนไปสืบพยานจำเลย ต่อมาพนักงานสอบสวนอำเภอบางน้ำเปรี้ยวจับผู้เสียหายมาส่งศาลเมื่อ 19 ตุลาคม 2524 ศาลสั่งให้รับตัวไว้หมายขังและเบิกตัวมาในวันสืบพยานโจทก์ วันนัดสืบพยานจำเลยเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2524 โจทก์แถลงขอสืบผู้เสียหาย แต่เนื่องจากจำเลยขอเลื่อนการพิจารณาศาลจึงให้นัดสืบพยานโจทก์จำเลยในวันที่ 16 ธันวาคม 2524 ในวันนั้นจำเลยค้านว่าการสืบผู้เสียหายจะทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะเป็นพยานคู่กับร้อยตำรวจโทภาณุเดช และสิบตำรวจตรีศุภลักษณ์ ซึ่งได้เบิกความไปแล้ว แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้เสียหายเป็นพยานสำคัญในคดีและศาลได้อนุญาตให้โจทก์สืบพยานปากนี้แล้ว จึงให้โจทก์นำผู้เสียหายเข้าสืบ จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านอีกครั้งหนึ่ง

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นตัดพยานโจทก์ปากผู้เสียหายในตอนแรกนั้น ก็เพราะโจทก์ไม่สามารถนำพยานมาศาล และจำเลยก็แถลงขอให้ตัดพยานปากนี้ด้วย ศาลตัดพยานเพื่อเร่งรัดให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็ว แต่เมื่อการพิจารณายังไม่เสร็จ โจทก์สามารถเอาตัวผู้เสียหายมาศาลได้ก่อนสืบพยานจำเลย และพยานปากนี้เป็นพยานสำคัญของโจทก์ก็ไม่มีเหตุที่ศาลจะปฏิเสธไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบ กรณีไม่ใช่โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานปากนี้แล้ว โจทก์จึงหาหมดสิทธิที่จะขอสืบดังที่จำเลยฎีกาไม่ โจทก์ได้พยายามเอาพยานปากนี้มาสืบตั้งแต่แรก เมื่อผู้เสียหายไม่มาศาลก็แถลงให้ศาลทราบว่าผู้เสียหายหลีกเลี่ยงมีผลให้ศาลออกหมายจับผู้เสียหายและโจทก์แถลงให้ทราบว่าผู้เสียหายเป็นพยานคู่กับร้อยตำรวจโทภาณุเดชแสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนาจะเอารัดเอาเปรียบจำเลยในการดำเนินคดีแต่อย่างใด ที่จำเลยฎีกาว่า การสืบพยานทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงถามค้านพยานปากอื่นหลงผิดในส่วนซึ่งเป็นสาระสำคัญในการถามพยานปากอื่นที่เป็นพยานคู่นั้น เห็นว่าคดีนี้จำเลยรับอยู่แล้วว่าได้เอาวิทยุของผู้เสียหายไปจริง คงโต้แย้งแต่เพียงว่าจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ตั้งใจจะเอาวิทยุไปเก็บไว้ให้เท่านั้น ข้อเท็จจริงที่ผู้เสียหายรู้เห็นร่วมกับร้อยตำรวจโทภาณุเดชก็มีเฉพาะตอนที่ตำรวจไปเปิดตู้ของจำเลยเอาวิทยุของกลางออกมาและตำรวจได้จับกุมจำเลยเท่านั้น ทั้งข้อเท็จจริงตอนนี้โจทก์ก็มีสิบตำรวจตรีศุภลักษณ์มาเบิกความอีกคนหนึ่งด้วยจำเลยมีโอกาสจะถามค้านร้อยตำรวจโทภาณุเดชและสิบตำรวจตรีศุภลักษณ์ในฐานะพยานคู่ได้อยู่แล้ว หากจำเลยเห็นว่ามีความจำเป็นต้องถามค้านพยานสองปากนี้ในข้ออื่นอันเกี่ยวเนื่องกับคำเบิกความของผู้เสียหายอีกจำเลยก็อาจขอให้ศาลเรียกพยานทั้งสองนี้มาเบิกความใหม่ได้จำเลยไม่เสียเปรียบแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังมานั้นจำเลยและผู้เสียหายทำงานที่เดียวกัน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนอนฟังวิทยุอยู่ในที่พักคนงานแล้วหลับไป จำเลยเอาวิทยุไปตอน 5 นาฬิกา คงเพราะเห็นว่าหยิบฉวยไปได้ง่าย ๆ ไม่มีคนรู้เห็น ทั้งทรัพย์ของกลางผู้เสียหายก็ได้คืนแล้ว รูปคดียังไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยถึง 3 ปี ศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำเลยเพียง 2 ปีเท่านั้น”

พิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share