แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อตกลงในการที่จำเลยสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ว่าจำเลยวางเงินซื้อหุ้นไว้กับโจทก์เพียงร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ 70 จำเลยจะจ่ายให้โจทก์ต่อเมื่อจำเลยต้องการใบหุ้นมาเป็นชื่อของจำเลยดังนี้ เมื่อจำเลยยังมิได้ชำระค่าหุ้นที่จำเลยสั่งซื้ออีกร้อยละ 70 โจทก์ก็ยังไม่มีหน้าที่จะจัดการโอนหุ้นให้ที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 403,790.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามทางนำสืบของจำเลยและโจทก์ว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ และจำเลยได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด จำนวน 1,100 หุ้น และหุ้นของบริษัทรามาทาวเวอร์ จำกัด จำนวน 400 หุ้น แล้วจำเลยค้างชำระหนี้เงินค่าหุ้นดังกล่าวแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 381,786 บาท 52 สตางค์ ตามที่จำเลยได้ทำบันทึกรับสภาพหนี้และขอผ่อนชำระให้โจทก์ไว้ตามบันทึกหมาย จ.1 จริงคดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยได้ทำบันทึกหมาย จ.1 ให้โจทก์ไว้โดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยอ้างถึงเหตุที่ว่าจำเลยสำคัญผิดไว้ 2 ประการ คือ การที่โจทก์สั่งซื้อหุ้นให้จำเลยนั้นไม่ได้มีการทำสัญญาลงลายมือชื่อของผู้โอนและผู้รับโอนโดยมีพยาน 1 คน และระบุเลขหมายหุ้นที่โอนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 และโจทก์มิได้ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด และบริษัทรามาทาวเวอร์ จำกัด ให้จำเลยจึงไม่มีหนี้ที่จำเลยจะชำระให้โจทก์ สำหรับข้อที่จำเลยอ้างว่า โจทก์มิได้ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด และบริษัทรามาทาวเวอร์ จำกัด ให้จำเลยนั้น ความข้อนี้จำเลยก็เบิกความรับว่าจำเลยได้สั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นของบริษัททั้งสองดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้องโดยผ่านนายปรีชา ธนสารสมบัติ ตัวแทนของจำเลย ส่วนโจทก์ก็มีนายสุวัฒน์ ก.ศรีสุวรรณ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการสำนักงานประนอมหนี้ของโจทก์มาเบิกความว่าโจทก์ได้ซื้อหุ้นของบริษัททั้งสองให้จำเลยตามที่จำเลยสั่งซื้อผ่านนายปรีชา ธนสารสมบัติแล้ว และโจทก์ยังมีนายปรีชา ธนสารสมบัติ ตัวแทนของจำเลยในการสั่งซื้อหุ้นมาเบิกความประกอบคำของนายสุวัฒน์รับว่าโจทก์ได้ซื้อหุ้นของบริษัททั้งสองให้จำเลยแล้วอีกด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด และบริษัทรามาทาวเวอร์ จำกัด ให้จำเลยตามจำนวนที่จำเลยสั่งซื้อแล้ว มิใช่โจทก์มิได้ซื้อให้ดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาส่วนข้อที่จำเลยอ้างเหตุว่า การที่โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยนั้นมิได้มีการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 กล่าวคือมิได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือผู้โอนและผู้รับโอน มีพยาน 1 คน และระบุเลขหมายหุ้นที่โอนกันด้วยนั้น ความข้อนี้ก็ปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยเองว่าในการสั่งซื้อสั่งขายหุ้นระหว่างจำเลยกับโจทก์นั้น จำเลยวางเงินซื้อหุ้นไว้กับโจทก์เพียงร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ 70 ที่เหลือ จำเลยจะจ่ายให้โจทก์ต่อเมื่อจำเลยต้องการใบหุ้นมาเป็นชื่อของจำเลยเอง แต่ถ้ายังไม่ต้องการใบหุ้น ก็ทิ้งไว้ที่โจทก์ โดยเป็นหนี้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อข้อตกลงในการสั่งซื้อสั่งขายหุ้นระหว่างจำเลยและโจทก์เป็นเช่นนี้ และจำเลยยังมิได้ชำระค่าหุ้นที่จำเลยสั่งซื้ออีกร้อยละ 70 ให้โจทก์ โจทก์ก็ยังไม่มีหน้าที่จะจัดการโอนหุ้นให้จำเลยตามข้อตกลงดังกล่าวนั้น จึงยังไม่มีการโอนหุ้นที่จะต้องปฏิบัติตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ได้กำหนดแบบแห่งการโอนไว้ดังที่จำเลยฎีกา และก็เป็นเหตุให้มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทราชาเงินทุน จำกัด และบริษัทรามาทาวเวอร์ จำกัด ที่กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตามที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาไม่ได้อยู่ในตัว สำหรับข้อที่จำเลยฎีกาขึ้นมาเป็นประการสุดท้ายว่า นายปรีชา ธนสารสมบัติ ได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้ตามจำนวนเงินที่โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยทุกครั้ง หากจำเลยเป็นหนี้โจทก์ก็เป็นหนี้ตามสัญญากู้ มิใช่หนี้ค่าซื้อหุ้นตามที่โจทก์ฟ้องนั้น ความข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้แต่ประการใด จึงเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกา วินิจฉัยให้ไม่ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาท