คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวไม่ปรากฏว่าจำเลยอื่นมีหรือใช้อาวุธปืนด้วย จำเลยอื่นจึงไม่มีความผิดฐานทำการปล้นทรัพย์ โดยมีหรือใช้อาวุธปืนตามมาตรา 340 ตรี ที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ข้อ 15 ด้วย และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์
และเมื่อปรากฏจากฎีกาของโจทก์ว่า คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1,2 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 546/2518 นั้น จำเลยที่ 1,2 ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 764/2518 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาให้นับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่อกันได้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๖ คนร่วมกันมีมีดและปืนเป็นอาวุธติดตัวไปทำการปล้นทรัพย์ของนายแฝง ปัดเพชร นายบุญมี แจ่มสุวรรณ และนายบุญ รอดผุย ทรัพย์เหล่านี้อยู่ในความครอบครองของนายแฝง ปัดเพชรไปโดยทุจริต โดยจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนทำร้ายนายแฝง ปัดเพชร และนางจำลอง ปัดเพชร จนเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองเกิดอันตรายแก่กาย และขู่เข็ญบังคับเอาตัวนายแฝง ปัดเพชร ไปเป็นประกัน เพื่อให้ความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ หาเอาทรัพย์นั้นไป เพื่อยึดทรัพย์นั้น และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐,๓๔๐ ตรี , ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔,๑๕ และนับโทษจำเลยที่ ๑,๒,๖ ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๔๖/๒๕๑๘ และหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๑๘ ของศาลชั้นต้น เพราะจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกันในคดีเหล่านี้ ให้คืนกระบือของกลางแก่เจ้าของ ของกลางอื่นให้ริบ ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาวิทยุ ๑ เครื่อง อาวุธปืนแก๊ปยาว ๑ กระบอก พระเครื่อง ๑ ห่อ ธนบัตรชนิดต่าง ๆ ๖๐๐ บาท รวมราคา ๑,๙๕๐ บาทที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทุกคนต่างให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยได้กระทำผิดจริง โดยมีอาวุธปืนเข้าทำการปล้นทรัพย์ พิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๖ คนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐,๓๔๐ ตรี ซึ่งได้แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔,๑๕ จำคุกคนละ ๑๘ ปี ลดฐานรับสารภาพตามมาตรา ๗๘ คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๙ ปี นับโทษจำเลยที่ ๖ ต่อคดีหมายเลขแดงที่ ๔๒๐/๒๕๑๘ ของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ ๑,๒ ไม่นับโทษต่อเพราะคดีที่ขอให้นับโทษต่อยังมิได้พิพากษาคืนกระบือของกลางแก่เจ้าของ ของกลางอื่นให้ริบ ให้จำเลยร่วมกันคืนและใช้ราคาวิทยุ ๑ เครื่อง อาวุธปืนแก๊ปยาว ๑ กระบอก พระเครื่อง ๑ ห่อ ธนบัตร ๖๐๐ บาท รวม ๑ เครื่อง อาวุธปืนแก๊ปยาว ๑ กระบอก พระเครื่อง ๑ ห่อ ธนบัตร ๖๐๐ บาท รวม ๑,๙๕๐ บาทแก่เจ้าของ
จำเลยที่ ๖ อุทธรณ์ว่า โจทก์สืบพยานไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๖ กระทำผิดตามฟ้อง ควรยกประโยชน์ความสงสัยให้แก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๖ ได้กระทำผิดจริง ลงโทษจำเลยที่ ๖ ได้ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ คนเดียวมีอาวุธปืนไปในการปล้นทรัพย์ จำเลยอื่นจึงไม่ผิดฐานทำการปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน และเป็นเหตุในลักษณะคดี มีผลถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์ด้วย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๒ ,๓,๔,๕ และ ๖ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรค ๒ แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔จำคุกจำเลยคนละ ๑๒ ปี ลดฐานรับสารภาพตามมาตรา ๗๘ คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๖ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๖ ฎีกาเช่นเดียวกับที่อุทธรณ์
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ ๖ ได้กระทำผิดจริง ส่วนจำเลยที่ ๑ ปรากฏว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวไม่ปรากฏว่าจำเลยอื่นมีหรือใช้อาวุธปืนด้วย จำเลยอื่นจึงไม่มีความผิดฐานทำการปล้นทรัพย์ โดยมีหรือใช้อาวุธปืนตามมาตรา ๓๔๐ ตรี ที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ ด้วย และเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้อุทธรณ์ได้ ส่วนการนับโทษต่อนั้น เมื่อปรากฏจากฎีกาของโจทก์ว่า คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ ๑,๒ ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๔๖/๒๕๑๘ นั้น จำเลยที่ ๑,๒ ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๖๔/๒๕๑๘ ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาให้นับโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต่อกันได้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะให้นับโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๖๔/๒๕๑๘ ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share