คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2ให้ล้มละลายในคดีก่อนนั้น เป็นหนี้อันเกิดแต่มูลหนี้ส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ แม้จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 แต่ห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้เป็นลูกหนี้ที่ถูกฟ้องด้วย โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เจ้าหนี้โดยตรงของจำเลยที่ 2 ในอันที่จะใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ และแม้จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการด้วยก็เป็นเรื่องของเจ้าหนี้ที่อาจใช้สิทธิเรียกให้ชำระหนี้เอาแต่ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1070,1080 คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการให้ร่วมรับผิดกับห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรงของโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองได้รับการทวงถามให้ชำระหนี้แล้วไม่ชำระโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้
จำเลยที่ 1 มอบฟิล์มภาพยนตร์ให้ไว้แก่ธนาคาร ท. เพื่อยึดถือไว้เป็นการประกันหนี้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต้องใช้เงินแก่ธนาคาร ท. แทนจำเลยที่ 1 ธนาคาร ท. ได้มอบฟิล์มภาพยนตร์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเข้าเป็นผู้รับช่วงสิทธิในฟิล์มภาพยนตร์ดังกล่าวในอันที่จะยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันหนี้เช่นเดียวกัน มิใช่เป็นเรื่องโจทก์รับซื้อฟิล์มภาพยนตร์ดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยตีราคาเท่าหนี้สินที่โจทก์ค้ำประกันไว้ อันจะทำให้หนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด โดยจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกันต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้เป็นหนี้ธนาคารดังกล่าวแล้วไม่ชำระโจทก์จึงต้องโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้แทนเป็นเงิน 6 ล้านบาทเศษ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินคืนจากจำเลยทั้งสองได้ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระมีพฤติการณ์เป็นการประวิงการชำระหนี้หรือเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ เข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลาย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 เคยถูกเจ้าหนี้ฟ้องให้ล้มละลายศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่โจทก์และธนาคาร ท. มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าว สิทธิเรียกร้องจึงหมดไป ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่โจทก์อ้างว่าชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ไปไม่เป็นความจริง แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ซื้อภาพยนตร์ทั้งหมดของจำเลยที่ 1 ซึ่งธนาคารยึดไว้ แล้วโอนที่ดินชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหนี้ธนาคารตามข้อตกลง จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้โจทก์จำเลยที่ 2 มีทรัพย์สินสูงกว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องมากมาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้โจทก์ทวงถามโดยชอบแล้ว จึงเข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้นางศรีสมบัติ มานูเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ล้มละลายในคดีนั้น เป็นหนี้อันเกิดแต่มูลหนี้ส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 ก็มิได้เป็นลูกหนี้ที่ถูกฟ้องด้วย โจทก์หรือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าหนี้โดยตรงของจำเลยที่ 2 ในอันที่จะใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ แม้จำเลยที่ 2 จะมีส่วนต้องรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 ที่มีต่อธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดหรือโจทก์ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการด้วยก็ตาม ก็เป็นเรื่องของการใช้สิทธิไล่เบี้ยของเจ้าหนี้ห้างหุ้นส่วน ซึ่งอาจที่จะใช้สิทธิของตนในการที่จะเรียกให้ชำระหนี้เอาแต่ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งก็ชอบที่จะทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1070, 1080 คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการให้ร่วมรับผิดกับห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกหนี้โดยตรงของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้โดยผลของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องนี้ได้เมื่อจำเลยทั้งสองได้รับการทวงถามในการชำระหนี้แล้ว ไม่ชำระให้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง

การให้สิทธิของจำเลยที่ 1 ในฟิล์มภาพยนตร์ทั้งห้าเรื่องแก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ดังกล่าว น่าจะเป็นเจตนารมณ์ของคู่กรณีเพื่อการยึดถือไว้เป็นการประกันหนี้อย่างหนึ่งนอกเหนือไปจากสิทธิยึดหน่วง ด้วยการให้สิทธิแก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด เสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฟิล์มภาพยนตร์เรื่องนั้นด้วย เมื่อธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มอบฟิล์มภาพยนตร์พร้อมทั้งโอนสิทธิของตนที่ได้รับโอนมาจากจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.17 ให้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.18 โจทก์จึงเข้าเป็นผู้รับช่วงสิทธิในฟิล์มภาพยนตร์ดังกล่าว ในอันที่จะใช้สิทธิยึดหน่วงยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ดุจเดียวกัน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับกรณีของการซื้อขายกันอย่างธรรมดา

พิพากษายืน

Share