คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 60,000 บาทต่อมาในวันสืบพยาน คู่ความแถลงรับกันในเรื่องค่าเสียหายว่าหากโจทก์ชนะคดีจำเลยยอมชำระค่าเสียหายให้ 40,000 บาทโจทก์พอใจรับค่าเสียหายตามที่ตกลงกัน ดังนี้ต้องถือว่าคดีนี้เป็นคดีมี ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดก็ดี จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำละเมิดก็ดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ส. เป็นคนร้ายลักตาข่ายดักปลาของจำเลย จำเลยทั้งสองแอบซุ่มดูอยู่ แล้วจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงถูกส. ถึงแก่ความตายโดย ส. มิได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยทั้งสองแต่อย่างใดดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจฆ่า ส. ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันจะทำให้พ้นจากความรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 449

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปรากฎว่าเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 60,000 บาท ฐานกระทำละเมิดโดยใช้อาวุธปืนยิงนายสวาท บัวนิล สามีโจทก์ถึงแก่ความตายจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิด ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์คู่ความแถลงรับกันสำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่า หากโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยทั้งสองยอมชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 40,000บาท โจทก์พอใจรับค่าเสียหายตามที่ตกลงกัน ดังนี้ ต้องถือว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2403/2524 ระหว่างนายประเสริฐ อนันตศิลป์ โจทก์ นายประสิทธิ์สมศรีทอง จำเลย ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท โดยฟังข้อเท็จจริงว่า นายสวาท บัวนิล สามีโจทก์กับพวกเป็นคนร้ายลักตาข่ายดักปลาของจำเลย จำเลยทั้งสองแอบซุ่มดูอยู่ แล้วจำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนยิงถูกนายสวาท บัวนิล ถึงแก่ความตาย โดยนายสวาท บัวนิล กับพวกมิได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการจงใจฆ่านายสวาท บัวนิล ให้ถึงแก่ความตาย และการกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมิใช่เป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันจะทำให้พ้นจากการรับผิดศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันกับศาลชั้นต้นที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นการกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมายังถือไม่ได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายสวาทกับพวกมิได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าความตายของสามีโจทก์เกิดจากจำเลยที่ 1จึงยังไม่เพียงพอถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดก็ดี ค่าเสียหายศาลควรคำนึงตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438ประกอบด้วยมาตรา 442 จำเลยจึงอาจไม่ต้องรับผิดหรือรับผิดแต่เพียงจำนวนน้อยก็ดี และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดจึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วยก็ดี เป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ทั้งคู่ความก็ได้ตกลงกันไว้แล้วด้วยศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ”

Share