แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในข้อหายักยอกโจทก์อุทธรณ์ว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์ต้องถือว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัพย์ไปโดยทุจริต และในข้อหาฉ้อโกงโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์นำสืบพฤติการณ์โดยชัดเจนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตดังนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์กล่าวถึงว่าจำเลยยักยอกเงินที่ขายเครื่องหยุดและตัดด้ายอัตโนมัติด้วย เป็นข้ออ้างที่ขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์โดยชัดแจ้ง ถึงหากจะเป็นข้อกฎหมาย ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เห็นว่าในข้อหาฐานยักยอกที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์ต้องถือว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัยพ์ไปโดยทุจริต และในข้อหาฐานฉ้อโกงที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์นำสืบพฤติการณ์โดยชัดเจนแล้วว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต เป็นการอุทธรณ์คัดค้านดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ว่าจะรับฟังว่าจำเลยมีเจตนายักยอก หรือมีเจตนาทุจริตไม่ได้นั่นเอง อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสองข้อหา ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 10 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ฟ้องกล่าวถึงว่าจำเลยยักยอกเงินที่ขายเครื่องหยุดและตัดด้านอัตโนมัติด้วยนั้น เป็นข้ออ้างที่ขัดแย้งกับคำฟ้องของโจทก์โดยชัดแจ้ง ถึงหากจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”