คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 615/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มอบอำนาจให้บุคคลซึ่งเป็นทนายความดำเนินคดีกับจำเลยได้ทุกอย่าง ผู้รับมอบอำนาจเป็นแต่ตัวแทนเฉพาะการและตั้งทนายความได้ไม่ใช่ตั้งตัวแทนช่วง แต่จะว่าความซักพยานเองอย่างทนายความไม่ได้แม้จำเลยยกขึ้นคัดค้านเมื่อพ้น 8 วันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรคสอง ศาลเห็นสมควรก็สั่งแก้ไข โดยให้ผู้รับมอบอำนาจทำใบแต่งตั้งตัวเองเป็นทนายความก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นแจ้งให้โจทก์ทราบเพียงว่าให้นัดฟังผลปฏิบัติและฟังคำพิพากษา ไม่ชัดพอที่จะให้เข้าใจว่าให้โจทก์แก้ไขข้อที่ผิดระเบียบภายในกำหนดเวลาโจทก์ไม่ไปศาลตามนัด จึงถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องไม่ชอบ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่างให้พิจารณาพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 22 เดือนพฤศจิกายน 2522

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายมงคล ศิลปศร ฟ้องคดีนี้แทน ดังปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสองเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายมงคล มังคลาภรณ์ ผู้ตาย ระหว่างที่นายมงคล มังคลาภรณ์ ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2521 นายมงคล มังคลาภรณ์ได้ออกเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาประชาชื่น หมายเลขปีส่วน 29 056611 ลงวันที่ 1 เมษายน 2521 สั่งจ่ายเงินจำนวน 30,000 บาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ ปรากฏตามภาพถ่ายเช็คท้ายฟ้องครั้นถึงวันที่ 3 เมษายน 2521 โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวฝากเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาประชาชื่น ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยให้เหตุผลว่าผู้สั่งจ่ายถึงแก่ความตาย ซึ่งปรากฏว่านายมงคล มังคลาภรณ์ ถึงแก่ความตายไปตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2521 โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็ค แต่จำเลยทั้งสองกลับเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 30,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ นายมงคลศิลปศร ทำนอกเหนืออำนาจ ไม่มีอำนาจฟ้อง นายมงคล มังคลาภรณ์ ผู้ตายไม่เคยเป็นหนี้โจทก์และไม่เคยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยไม่ใช่ผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของนายมงคล มังคลาภรณ์ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสำนวนแล้วและนัดฟังคำพิพากษา แต่ก่อนอ่านคำพิพากษาได้จดรายงานกระบวนพิจารณาว่านัดฟังคำพิพากษาวันนี้ เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่าไม่มีผู้ใดมาศาลเลยศาลได้ตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้ว ปรากฏว่านายมงคล ศิลปศร ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ และได้ทำการซักถามพยานโจทก์และซักค้านพยานจำเลยเองตั้งแต่เริ่มต้นการพิจารณาจนเสร็จสำนวนโดยมิได้ตั้งตัวเองเป็นทนายความอันเป็นการปฏิบัติผิดบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายมงคลศิลปศรมีอาชีพเป็นทนายความคงจะเกิดความเข้าใจผิดบางประการการดำเนินคดีก็มิได้บ่งชี้ไปในทางประวิงคดีหรือทำการเอาเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด จึงเห็นสมควรที่จะอนุญาตให้แก้ไขให้ถูกต้อง ซึ่งมิได้ทำให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 จึงมีคำสั่งให้นายมงคล ศิลปศร แต่งตั้งตัวเองเป็นทนายความมีอำนาจว่าความคดีนี้ให้เรียบร้อยภายใน 3 วัน หากไม่ปฏิบัติภายในกำหนด จะสั่งการตามที่เห็นสมควร หมายนัดแจ้งให้คู่ความทราบ โดยศาลชั้นต้นออกหมายนัดถึงคู่ความมีใจความว่า ศาลนัดฟังผลปฏิบัติและฟังคำพิพากษาวันที่ 10 สิงหาคม 2522 เวลา 13.30 นาฬิกา ถึงวันนัดไม่มีฝ่ายใดมาศาล เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่ายังไม่ได้รับผลการส่งหมาย ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้รอฟังผลการส่งหมายก่อน เมื่อได้รับผลการส่งหมายเมื่อใด ให้รายงานให้ศาลทราบ

ต่อมาได้รับรายงานว่าส่งหมายนัดให้คู่ความได้เรียบร้อยแล้ว ศาลชั้นต้นจึงจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า คู่ความได้ทราบนัดแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาศาล จึงให้งดการอ่านคำพิพากษาและถือว่าคำพิพากษานั้นได้อ่านโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง และไม่สนใจว่าคดีจะเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ศาลได้ให้โอกาสแก้ไขความบกพร่องแล้ว ถือว่านายมงคล ศิลปศร ไม่มีอำนาจว่าความคดีนี้ ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคสอง มุ่งหมายจะห้ามเฉพาะบุคคลที่มิใช่ทนายความรับมอบอำนาจเป็นผู้แทนในคดีแล้วว่าความอย่างทนายความ ส่วนนายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีอาชีพเป็นทนายความอยู่แล้ว จึงไม่ต้องห้ามมิให้ว่าความแทนโจทก์นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 วรรคสอง บัญญัติโดยชัดแจ้งว่า “ถ้าคู่ความ ฯลฯ ทำหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลใดเป็นผู้แทนตนในคดี ผู้รับมอบอำนาจเช่นว่านั้นจะว่าความอย่างทนายความไม่ได้ แต่ย่อมตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้” ไม่มีข้อความตอนใดที่บัญญัติยกเว้นไว้ว่าถ้าผู้รับมอบอำนาจมีอาชีพเป็นทนายความให้ว่าความอย่างทนายความได้โดยไม่ต้องแต่งตั้งทนายความอีก การเป็นผู้แทนในคดีกับการเป็นทนายความนั้นมีฐานะคนละอย่างต่างกัน เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้นายมงคล ศิลปศร เป็นผู้แทนตนในคดีนายมงคล ศิลปศร ก็ย่อมมีอำนาจเพียงดำเนินคดีแทนโจทก์ในฐานะตัวความจะว่าความอย่างทนายความแทนโจทก์อีกฐานะหนึ่งด้วยหาได้ไม่ หากนายมงคล ศิลปศร ประสงค์จะว่าความแทนโจทก์ในฐานะทนายความก็ชอบที่จะแต่งตั้งตนเองเป็นทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 และ 62 ทั้งนี้โดยไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ซึ่งเป็นตัวการ เพราะการแต่งตั้งทนายความมิใช่การตั้งตัวแทนช่วง เมื่อนายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มิได้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ย่อมไม่มีอำนาจว่าความอย่างทนายความ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์ฎีกาว่า นายมงคล ศิลปศร เป็นตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจทั่วไปจากโจทก์ เพียงแต่แสดงใบมอบอำนาจทั่วไปแล้วคัดสำเนายื่นต่อศาลแทนใบแต่งทนายความ ก็มีอำนาจว่าความดำเนินคดีแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 61 นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ระบุว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายมงคล ศิลปศรดำเนินคดีเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับเช็ครายพิพาทจนกว่คดีจะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาไปในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วยการมอบอำนาจดังกล่าว นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจเป็นแต่เพียงตัวแทนเฉพาะการ มีอำนาจทำการแทนโจทก์เฉพาะการดำเนินคดีและกิจการที่เกี่ยวกับการดำเนินคดี หาใช่ตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไปซึ่งมีอำนาจทำกิจใด ๆ ในทางจัดการแทนตัวการได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 ไม่ กรณีจึงไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจทั่วไปมีอำนาจว่าความดำเนินคดีแทนตัวความโดยไม่ต้องแต่งตั้งทนายความหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์ฎีกาว่า แม้นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์จะดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ จำเลยก็ต้องหยิบยกขึ้นคัดค้านก่อนมีคำพิพากษาและไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้าง แต่ปรากฏว่าจำเลยเพิ่งหยิบยกขึ้นคัดค้านก่อนวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาเพียง 1 วัน อันขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ดังนั้น กระบวนพิจารณาที่นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจดำเนินมาแต่ต้นชอบที่จะรับฟังได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก เมื่อศาลเห็นสมควรก็มีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วนหรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดได้ตามที่เห็นสมควร โดยกฎหมายมิได้บังคับว่าศาลจะต้องมีคำสั่งภายในกำหนดเวลาเท่าใด ดังนั้นถึงแม้จำเลยจะเพิ่งหยิบยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นคัดค้านเมื่อล่วงพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง ก็หาเป็นการตัดอำนาจศาลที่จะสั่งการในเรื่องนี้ไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นายมงคลศิลปศร แต่งตั้งตัวเองเป็นทนายความมีอำนาจว่าความคดีนี้ภายใน 3 วัน ปรากฏว่านายมงคล ศิลปศร เพิ่งทราบคำสั่งหลังจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปแล้ว นายมงคล ศิลปศร จึงได้ยื่นใบแต่งทนายแต่งตั้งตัวเองเป็นทนายความตามคำสั่งศาลมาในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยประการใดนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเพียงแต่มีคำสั่งให้นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์แก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียให้ถูกต้อง มิได้สั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ถ้าหากศาลชั้นต้นสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ คู่ความก็มีสิทธิที่จะดำเนินกระบวนพิจารณานั้นใหม่ให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสาม เพราะมิใช่เป็นเรื่องที่คู่ความละเลยไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาภายในระยะเวลาซึ่งกฎหมายหรือศาลกำหนดไว้ มีปัญหาว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งให้คู่ความทราบโดยชอบแล้วหรือไม่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันนัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก ไม่มีคู่ความฝ่ายใดมาศาลซึ่งเป็นสิทธิของคู่ความที่จะทำได้ แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะงดการอ่านคำพิพากษา โดยจดแจ้งไว้ในรายงานและถือว่าคำพิพากษานั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140(3) แต่ศาลชั้นต้นก็มิได้พิพากษาคดีในวันนั้น โดยเห็นสมควรมีคำสั่งให้นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์แก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเสียก่อน คำสั่งนี้นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ยังไม่ทราบ ศาลชั้นต้นจึงออกหมายนัดแจ้งให้ทราบโดยมีข้อความว่า “หมายถึงนายมงคล ศิลปศร ทนายโจทก์ ด้วยคดีเรื่องนี้ศาลได้นัดฟังผลปฏิบัติและฟังคำพิพากษา ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2522 เวลา 13.30 นาฬิกา เพราะฉะนั้นให้ท่านไปศาลตามกำหนดนี้” ปรากฏว่านายมงคล ศิลปศร มีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครนอกเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงขอให้ศาลแพ่งช่วยจัดการส่งหมายนัดให้ แต่ถึงวันนัดนายมงคล ศิลปศร ก็มิได้มาศาลศาลชั้นต้นจึงถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่งและไม่สนใจว่าคดีจะเป็นอย่างไร แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความตามหมายนัดของศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้วยังไม่ชัดแจ้งพอที่โจทก์จะเข้าใจได้ว่า โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบและศาลมีคำสั่งให้แก้ไขภายใน 3 วัน ดังนั้น จะถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่งหรือไม่สนใจต่อคดีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ทราบ นายมงคล ศิลปศร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ก็ได้ยื่นใบแต่งทนายแต่งตั้งตนเองเป็นทนายความแล้วที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share