แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองรับแล้วว่าในระหว่างที่จำเลยทั้งสองทำสัญญากับโจทก์ จำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาและอาศัยปฏิบัติงานในภูมิลำเนาตามที่โจทก์ฟ้องจริง ดังนั้นการที่โจทก์ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง ณ ภูมิลำเนาดังกล่าว และขอให้ส่งสำเนาคำฟ้องตลอดจนหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทั้งสองทราบ ณ ภูมิลำเนาดังกล่าว จึงเป็นการชอบ
สำเนาทะเบียนบ้านเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นและรับรองว่าถูกต้อง จึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายแพ้คดี และยกคำร้องของจำเลยทั้งสองฝ่ายที่ขอพิจารณาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาผิดสัญญา โดยระบุว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 3957/3 ถนนพลแสน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และได้ร้องขอให้ศาลจังหวัดนครราชสีมาช่วยส่งหมายเรียกสำเนาฟ้อง ตลอดจนกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ให้แทนโดยถ้าหากส่งไม่ได้ด้วยประการใด ขอให้ปิดหมาย ศาลจังหวัดนครราชสีมาได้ให้เจ้าพนักงานไปส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยทั้งสอง ณ ภูมิลำเนาตามที่ระบุในคำฟ้อง แต่ส่งไม่ได้ จึงปิดหมายเรียกสำเนาคำร้องและสำเนาคำฟ้องไว้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2519 และต่อมาวันที่ 1 พฤษภาคม 2519 เจ้าพนักงานศาลจังหวัดนครราชสีมาได้ไปส่งหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์แก่จำเลยทั้งสอง ณ ภูมิลำเนาดังล่าว แต่ส่งไม่ได้ จึงได้ปิดหมายไว้ ณ ภูมิลำเนาดังกล่าว
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยรับเหมาและสำเนาคำฟ้องตลอดจนหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้องนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 4 ธันวาคม 2522 จำเลยทั้งสองรับแล้วว่าในระหว่างที่จำเลยทั้งสองทำสัญญากับโจทก์ จำเลยทั้งสองยอมรับว่าได้มีภูมิลำเนาและอาศัยปฏิบัติงานในภูมิลำเนาตามที่โจทก์ฟ้องจริง ดังนั้นการที่โจทก์ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง ณ ภูมิลำเนาดังกล่าว และขอให้ส่งสำเนาคำฟ้องตลอดจนหมายนัดแจ้งกำหนดวันสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งสองทราบณ ภูมิลำเนาดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาคนละแห่งแยกจากกันโดยเด็ดขาด จึงเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ย้ายครอบครัวมาอยู่กรุงเทพมหานครตั้งแต่พ.ศ. 2517 แล้วนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายจำเลยคงมีแต่จำเลยที่ 2 กับนางทัศนีย์ กุลตันติประภา เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ได้ย้ายครอบครัวไปแล้ว แต่ฝ่ายโจทก์มีหนังสือของสำนักงานเทศบาลเมืองนครราชสีมา ที่ นม.81/440 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2521 แจ้งยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ยังมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 3957/3 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ดังปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าว สำเนาทะเบียนบ้านเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นและรับรองว่าถูกต้อง จึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง จำเลยที่ 2 มิได้นำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 ยังมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิมมิได้ย้ายแต่อย่างใด การส่งหมายนัดสำเนาฟ้อง การส่งหมายนัดสำเนาฟ้อง จึงเป็นการชอบที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน