คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ในวันเดียวกันศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตและถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน ซึ่งเป็นคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ และเมื่อจำเลย แถลงไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษา คำสั่งไม่อนุญาต ให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์ของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่าง พิจารณา โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ และต้อง อุทธรณ์คำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าว และโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งนี้ก่อนเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวแม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ไว้ ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ และถือว่าปัญหานี้ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกอุทธรณ์กับยกฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระมัดจำพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 จนถึงวันฟ้อง เป็นเงินดอกเบี้ย 70,755.94 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 470,355.94 บาท และให้ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีติดต่อกัน 3 ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2541 โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก โดยอ้างเหตุว่าทนายโจทก์ป่วยกะทันหัน ทนายโจทก์คนเดิมได้ถอนตัวจากการเป็นทนายโจทก์และทนายโจทก์คนใหม่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงพอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน และจำเลยที่ 1 แถลงไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 เมษายน 2541 ซึ่งได้พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี โดยยื่นอุทธรณ์ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2541 ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2541 หลังจากมีคำพิพากษาแล้ว

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีตามคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2541 และในวันเดียวกันนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต และโจทก์ไม่มีพยานมาสืบถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน ซึ่งเป็นคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ และเมื่อจำเลยที่ 1 แถลงไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 27 เมษายน 2541 คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์ของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ และประการสำคัญต้องอุทธรณ์คำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณานี้ และโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำสั่งนี้เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2541 ซึ่งเป็นการยื่นอุทธรณ์ก่อนเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ไว้ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ และถือว่าปัญหานี้ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกอุทธรณ์กับยกฎีกาของโจทก์คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้แก่โจทก์

Share