คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้รับรองแนวเขตที่ดินมีโฉนด โดยบรรยายฟ้องว่าที่ดินของโจทก์อยู่ทางทิศเหนือที่ดินมีโฉนดของจำเลย และคดีนี้สืบเนื่องมาจากคดีเดิมซึ่งได้มีการนำชี้ทำแผนที่พิพาทมาแล้ว ดังนี้ จำเลยย่อมทราบข้อเท็จจริงอยู่ก่อน ที่ดินต่างมีโฉนดด้วยกัน ซึ่งมีรูปแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของแต่ละฝ่ายในโฉนด การที่โจทก์ไม่มีแผนที่ท้ายฟ้องประกอบมากับคำฟ้องด้วยหาทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาแต่ประการใดไม่ ฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในชั้นนี้คงมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาเพียงข้อเดียวว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์ฟ้องขอให้รับรองแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 ตำบลบางกระเบา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 จำเลยทั้งสาม เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2339 และคดีนี้สืบเนื่องมาจากคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 447/2517 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งคดีนั้นจำเลยที่ 1 ฟ้องสามีโจทก์ว่าปักรั้วลวดหนาม เสารั้วคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินทางทิศเหนือของจำเลยประมาณ 1 วาเศษ ในชั้นพิจารณา จำเลยที่ 1 และสามีโจทก์ทำแผนที่พิพาท โดยสามีโจทก์นำชี้ว่าแนวเขตที่ดินของโฉนดเลขที่ 2298 จากแนวรั้วพิพาทยาวเป็นเส้นตรงผ่านกอไผ่และต้นขี้หนอนไปจนสุดเขต ส่วนจำเลยที่ 1 นำชี้ว่าแนวเขตที่ดินของโฉนดเลขที่ 2339 ต้องร่นจากรั้วพิพาทเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 อีก 1 วา และยาวเป็นเส้นตรงไปสุดเขตประมาณ 20 วา ผลของคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่ารั้วพิพาทไม่ได้ปลูกรุกล้ำเข้าไปในโฉนดเลขที่ 2339 แต่ไม่ได้ชี้ขาดรวมไปถึงแนวเขตจากรั้วพิพาทซึ่งยาวประมาณ 20 วา นั้น เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดเจนแล้วว่าที่ดินของโจทก์อยู่ทางทิศเหนือของที่ดินจำเลย และคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวกับเนื่องมาจากคดีเดิมซึ่งได้มีการนำชี้ทำแผนที่พิพาทกันมาแล้ว จำเลยย่อมจะทราบข้อเท็จจริงอยู่ก่อนอีกทั้งที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็มีโฉนดด้วยกัน ซึ่งมีรูปแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของแต่ละฝ่ายปรากฏอยู่ในโฉนดที่ดิน ดังนั้นการที่โจทก์ไม่มีแผนที่ท้ายฟ้องประกอบมากับคำฟ้องด้วย หาทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาตามแต่ประการใดไม่ จำเลยทั้งสามก็ให้การต่อสู้คดีในประเด็นข้อพิพาทโดยมิได้หลงข้อต่อสู้แต่อย่างใด เช่นนี้คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งขัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยแต่ข้อตัดฟ้องของจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยยังมิได้พิจารณาพิพากษาในประเด็นที่โต้เถียงกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามประเด็นแห่งคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share