แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิด แต่โจทก์มิได้ฟ้องเป็นจำเลย กฎหมายมิได้ห้ามโจทก์อ้างผู้นั้นเป็นพยาน เมื่อเป็นผู้ได้เห็นหรือทราบเรื่องการกระทำผิด คำเบิกความก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง แต่ต้องพิเคราะห์ด้วยความระมัดระวังว่าพยานจะเบิกความเพียงเพื่อซัดทอดจำเลยเพื่อให้ตนรอดพ้นจากการถูกฟ้องร้องลงโทษหรือไม่
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 313 ลงโทษตามมาตรา 313 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 20 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยเป็นอันยุติว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2522 เวลา 17 นาฬิกาเศษ ได้มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงขู่เข็ญและทำร้ายร่างกายนายทิวากรธนานิตยะอุดม ผู้เสียหาย แล้วบังคับเอาตัวผู้เสียหายไปจากปั๊มน้ำมันสุรชาติบริการของผู้เสียหาย ที่ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่จริง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ที่ได้ร่วมกับคนร้ายดังกล่าวกระทำผิดตามฟ้องใช่หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวนี้โจทก์มีประจักษ์พยานมาสืบ 2 ปากคือ ผู้เสียหาย และนายสังวาลย์ ยิ้มฉิม ลูกจ้างของผู้เสียหายซึ่งทำงานประจำอยู่ที่ปั๊มน้ำมันในขณะเกิดเหตุ แต่ผู้เสียหายและนายสังวาลย์จำคนร้ายไม่ได้ โดยเฉพาะผู้เสียหายเป็นคนสายตาสั้นและถูกคนร้ายใช้ผ้าปิดตาตลอดเวลา โจทก์คงมีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ในการกระทำผิดครั้งนี้มาสืบอีก 2 ปาก คือ นายบรรเทิง ศรีภิรมย์ และนายบกหรือน้ำเย็น กลิ่นหอม ซึ่งในชั้นต้นพนักงานสอบสวนได้จับกุมพยานทั้ง 2 ปากนี้เป็นผู้ต้องหา แต่ในภายหลังได้กันพยานทั้ง 2 ปากนี้ไว้เป็นพยาน โดยนายบรรเทิงเบิกความว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มาติดต่อกับนายบรรเทิงขอให้หารถยนต์ปิคอัพที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในการกระทำครั้งนี้ ซึ่งนายบรรเทิงก็ได้ไปติดต่อให้จำเลยที่ 2 หาให้ และจำเลยที่ 2 ได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ 3 นำรถปิคอัพคันที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะในการกระทำผิดซึ่งเป็นรถยนต์ของจำเลยที่ 3 มาให้จำเลยที่ 1 ที่บริเวณสะพานไอ้แมว ตำบลท่าทอง แล้วจำเลยที่ 1 ได้มอบรถยนต์ปิคอัพคันดังกล่าวให้กับพวกของจำเลยที่ 1 ได้แก่นายโรจน์ นายน้อย นายทูลกับชายไม่ทราบชื่ออีกคนหนึ่งไปเอาตัวผู้เสียหายมาจากปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 1 คงรออยู่ที่สะพานไอ้แมวนั้น จนกระทั่งนายโรจน์กับพวกนำเอาตัวผู้เสียหายมา แล้วจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดึงตัวผู้เสียหายลงจากรถยนต์ปิคอัพในขณะนั้นผู้เสียหายถูกใส่กุญแจมือและผูกตัวไว้ด้วย หลังจากนี้จำเลยที่ 1 กับพวกก็คุมตัวผู้เสียหายเดินเข้าไปในป่าข้าวโพด เดินทางต่อไปจนถึงบ้านบางแก้ว ตำบลบางระกำ ส่วนนายบกหรือน้ำเย็นก็เบิกความสนับสนุนคำของนายบรรเทิงว่าได้ร่วมไปกับนายบรรเทิงและได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่คนร้ายเอาตัวผู้เสียหายนั่งรถยนต์ปิคอัพมาถึงสะพานไอ้แมว และเห็นจำเลยที่ 1 กับพวกนำตัวผู้เสียหายลงจากรถยนต์ปิคอัพและพาผู้เสียหายไป ศาลฎีกาเห็นว่านายบรรเทิงและนายบกหรือน้ำเย็นแม้จะมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย แต่โจทก์ก็มิได้ฟ้องบุคคลทั้งสองนี้เป็นจำเลยร่วมด้วย กฎหมายจึงมิได้ห้ามโจทก์อ้างบุคคลทั้งสองเป็นพยานมาเบิกความสนับสนุนคำฟ้องของโจทก์ เมื่อบุคคลทั้งสองเป็นผู้ได้เห็นหรือทราบเรื่องการกระทำผิดในคดีนี้ คำเบิกความบุคคลทั้งสองก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามกฎหมายแต่ประการใด แต่เนื่องจากพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้ได้มีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย ศาลจึงจำต้องพิเคราะห์คำเบิกความพยานโจทก์ทั้งสองด้วยความระมัดระวังว่าพยานจะเบิกความเพียงเพื่อซัดทอดจำเลยที่ถูกฟ้องร้องเพื่อให้ตนรอดพ้นจากการถูกฟ้องร้องลงโทษหรือไม่ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้แล้วก็ปรากฏว่าพยานได้เบิกความไปตามลำดับของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีเฉพาะที่พยานแต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นเท่านั้น โดยเฉพาะนายบรรเทิงก็ได้เบิกความในลักษณะที่เป็นการปรักปรำตนเองว่าได้มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดครั้งนี้อีกด้วย จะถือว่านายบรรเทิงได้เบิกความในลักษณะที่เป็นการปรักปรำจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับโทษ ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมาหาได้ไม่นอกจากนี้ยังปรากฏว่าภายหลังที่จำเลยที่ 1 ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดคดีนี้จังหวัดทหารบกพิษณุโลกได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยที่ 1ด้วย ซึ่งพันตรีพายัพ เป็นธรรม พยานจำเลยที่ 1 ที่ได้เป็นกรรมการสอบสวนด้วยผู้หนึ่งก็ได้เบิกความว่า ผลของการสอบสวนคณะกรรมการมีความเห็นว่าน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมในการกระทำผิดครั้งนี้โดยร่วมกันตั้งแต่วางแผนและพยานหลักฐานพอฟ้องดังที่ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 จึงแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกันเป็นคณะกรรมการสอบสวนตามเอกสารหมาย ล.3 ก็เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดคดีนี้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนี้จึงประกอบเจือสมกับคำเบิกความของนายบรรเทิง และนายบกหรือน้ำเย็น พยานโจทก์ ให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องกระทำผิดฐานเอาตัวผู้เสียหายไปโดยการขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่จริงตามฟ้อง และการที่คณะกรรมการสอบสวนซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล.3 มีความเห็นเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมในการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าตามระเบียบของทางราชการทหารเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายสิบเวรนั้น ก็มิได้ถือปฏิบัติเคร่งครัดว่าในขณะปฏิบัติหน้าที่นายสิบเวรนั้นจำเลยที่ 1 จะไปไหนไม่ได้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นคณะกรรมการสอบสวนซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จะมีความเห็นเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดคดีนี้ด้วยในช่วงเวลาซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติหน้าที่นายสิบเวรได้อย่างไร ข้อที่จำเลยที่ 1 นำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่าในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่นายสิบเวรอยู่ที่สถานีสารวัตรทหาร จังหวัดทหารบกพิษณุโลก จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้”
พิพากษายืน