คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องแย้งในฐานะนายอำเภอและประธานสุขาภิบาล ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลยมิใช่เป็นคดีที่พิพาทโต้แย้งด้วยกรรมสิทธิ์ที่พิพาท จึงเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่ดินพิพาทด้านที่ติดต่อกับสระโชติเป็นที่ดินของโจทก์ห้ามจำเลยขัดขวางคัดค้านการขอสำรวจรังวัดเพื่อออกโฉนด

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทับที่ดินสระโชติซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์อยู่ 92 ตารางวา จึงฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไป

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ บังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลย

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยเป็นส่วนหนึ่งของสระโชติ และที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่าจำเลยที่ 1 ยังชำระค่าขึ้นศาลและค่าธรรมเนียมไม่ครบถ้วน เพราะในฟ้องแย้งจำเลยมิได้ตีราคาและเสียค่าขึ้นศาลมาในส่วนที่ดินพิพาท กล่าวคือ จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งมาเพียง 50 บาทเท่านั้น ข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งมาในฐานะนายอำเภอและประธานสุขาภิบาล ขอให้ขับไล่โจทก์และบริวาร รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของจำเลย หาใช่เป็นคดีที่พิพาทโต้แย้งด้วยกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกันแต่ประการใดไม่

พิพากษายืน

Share