คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 875/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเข้าไปไถนาในที่ดินซึ่งตนเชื่อโดยสุจริตใจว่าตนมีสิทธิโดยชอบที่จะเข้าไปทำได้ แม้จะทำให้คันนาของบุคคลอื่นเสียหาย ก็ถือไม่ได้ว่าได้มีเจตนากระทำผิดอันจะเป็นความผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2508 จำเลยที่ 1 บังอาจนำรถแท็กเตอร์เข้าไถทับที่ดินที่โจทก์ไถดะไว้แล้ว โดยจำเลยที่ 2 ร่วมมือยุยงหรือใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำเป็นเหตุให้คันนาของโจทก์ถูกทำลาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งคดีมีมูล

จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้ร่วมกันกระทำผิด

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เข้าไถทำลายคันนาของโจทก์เสียหาย แม้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวันกระทำผิดตามทางพิจารณาจะแตกต่างกับฟ้อง ก็เป็นข้อที่จำเลยมิได้หลงต่อสู้ พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ความว่าได้ยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องจำเลยไม่ได้พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทตรงที่จำเลยที่ 1 เข้าไถจนเป็นเหตุให้คันนาซึ่งโจทก์ว่าเป็นของโจทก์เสียหายนั้น ทางราชการได้นำมาจัดสรรให้ราษฎรทำกิน จำเลยที่ 1 เป็นผู้จับสลากได้ที่ดินนั้นและคณะกรรมการจัดสรรมอบให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงเข้าไปไถย่อมเห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 1 เข้าไปไถในที่ดินนั้น ก็โดยที่เชื่อว่าตนมีสิทธิโดยชอบที่จะเข้าไปทำได้ เพราะคณะกรรมการจัดสรรได้มอบให้ตนแล้ว ทั้งนายประเสริฐสามีของโจทก์ที่อ้างว่ามีสิทธิในที่ดินก็ถูกฟ้องร้อง ศาลพิพากษาลงโทษและบังคับให้ออกจากที่ดินแล้วย่อมเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตใจว่า ตนมีสิทธิที่จะเข้าไปทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ยังถือไม่ได้ว่าได้มีเจตนากระทำผิด อันจะเป็นความผิดทางอาญา จึงหาเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องไม่ สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์ก็ไม่มีพยานสืบรู้เห็นว่าได้ร่วมมือส่งเสริมจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดก็ยิ่งไม่มีทางลงโทษจำเลยที่ 2 ได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า โจทก์จะเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องได้หรือไม่

พิพากษายืน

Share