คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอท้ายฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 นั้นเมื่อมาตรา 4 บัญญัติให้เพิ่มความเป็นมาตรา 27 ทวิ ก็เท่ากับโจทก์อ้างและขอให้ลงโทษตามความในมาตรา 4 คือ มาตรา 27 ทวิแล้ว
การกระทำของจำเลยผิดพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิโทษเบากว่ามาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ เพิ่งบัญญัติขึ้นเมื่อพ.ศ. 2499 กับความผิดตามมาตรา 27 ทวิ นี้ไม่เป็นผิดตามมาตรา 27ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 32 ก็ให้ริบทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดพระราชบัญญัติศุลกากรซึ่งใช้บังคับในขณะนั้นที่ประชุมใหญ่เห็นว่าจะริบรถยนต์ของกลางตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 ไม่ได้แต่ริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ได้แม้โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 33 แต่ก็ขอให้ริบรถยนต์ของกลางมาแล้ว ศาลจึงริบตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจรับและมีผงชูรสซึ่งเป็นสินค้าที่มีแหล่งผลิตในต่างประเทศเป็นของต้องห้ามต้องจำกัด และมีผู้นำหลบหนีภาษีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรไทยไว้ในความครอบครองรวมทั้งราคาของและค่าภาษีศุลกากรเป็นเงิน 8,094.10 บาท เมื่อจำเลยได้รับและมีผงชูรสดังกล่าวไว้ในครอบครองแล้ว จำเลยได้บังอาจใช้รถยนต์ของจำเลยเป็นยานพาหนะทำการบรรทุกเพื่อขนย้ายผงชูรสนั้นไปซ่อนเร้นที่อื่น หรือเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้อื่นโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยนำหลบหนีภาษีศุลกากรเข้ามา เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมผงชูรสและรถยนต์เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร และริบของกลางทั้งหมด

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27, 32 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 คงปรับ 21,464.27 บาท ริบของกลางตลอดจนรถยนต์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษเป็นว่า จำเลยผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ริบผงชูรสของกลางตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17 และริบรถยนต์ของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา ศาลสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า คำขอท้ายฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 เมื่อมาตรา 4 บัญญัติให้เพิ่มความเป็นมาตรา 27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ก็เท่ากับโจทก์อ้างและขอให้ลงโทษตามความในมาตรา 4 คือมาตรา 27 ทวิ แล้วจะว่าโจทก์มิได้อ้างมิได้ขอดังฎีกาจำเลยอย่างไรได้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อริบรถยนต์ตามมาตรา 32 ที่โจทก์ขอไม่ได้แล้ว จะพิพากษาให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ไม่ได้นั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ ซึ่งกำหนดโทษเบากว่าความผิดตามมาตรา 27 และเพิ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2499 ความผิดตามมาตรา 27 ทวิ นี้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 27 จึงได้บัญญัติเป็นความผิดขึ้นตามมาตรา 27 ทวิ ส่วนพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32ก็ย่อมเป็นการระบุให้ริบทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรซึ่งใช้ในขณะนั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า รถยนต์ของกลางคดีนี้จะริบตามมาตรา 32 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ไม่ได้ และริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ได้เพราะมาตรา 33 ก็ระบุว่า นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจริบทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 33 นี้ด้วยซึ่งกรณีความผิดในคดีนี้นอกจากจะต้องด้วยบทบัญญัติที่ระบุไว้ในมาตรา 33 แล้ว มาตรา 27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร ก็ไม่มีข้อแสดงว่าจะมิให้ตกอยู่ภายในบังคับของมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่โจทก์ไม่ได้อ้างมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาด้วยก็ปรากฏว่าขอให้ริบรถยนต์ของกลางมาแล้ว ศาลก็สั่งริบตามบทกฎหมายที่ถูกต้องได้ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share