คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2947/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ผู้ช่วยหัวหน้าเขตที่ดินมีหน้าที่สอบสวนการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้แทนของกรมที่ดินจำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 2ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ของผู้ขายฝากโดยประมาทเลินเล่อจึงไม่ทราบว่าผู้ขายฝากไม่ใช่เจ้าของที่ดินและรับจดทะเบียนขายฝากไปทำให้โจทก์ผู้รับซื้อฝากเสียหาย จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย
โจทก์รับซื้อฝากที่ดิน โดยไม่ได้สืบสวนว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดหรือไม่ แต่ให้คำรับรองต่อจำเลยที่ 2 ว่าโจทก์ติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรง หากเกิดความผิดพลาดโจทก์ขอรับผิดชอบเอง ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนส่งเสริมให้จำเลยที่ 2ประมาทนับว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อด้วยควรร่วมรับผิดในผลละเมิดเป็นจำนวนหนึ่งในห้า
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดน้อยลง ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลตลอดถึงจำเลยที่ 1 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 อ้างตนเองว่าเป็นนายประจักษ์เจ้าของที่ดินต้องการขายฝากที่ดิน โจทก์ได้ขอภาพถ่ายโฉนดที่ดินจากจำเลยที่ 1 ให้นางนิภาไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วยืนยันว่าเป็นโฉนดที่ถูกต้องแท้จริงโจทก์จึงรับซื้อฝากที่ดินรายนี้โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าเขตพระโขนงทำหน้าที่พนักงานที่ดินในสังกัดของกรมที่ดินจำเลยที่ 3 เป็นผู้ตรวจสอบและจดทะเบียนนิติกรรมขายฝาก ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ขายฝาก และโฉนดที่ดินฉบับที่นำไปจดทะเบียนขายฝากเป็นโฉนดปลอม จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมรับผิดชดใช้เงินที่โจทก์เสียไปในการรับซื้อฝากจำนวน 590,000 บาท แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า นางนิภาไม่เคยนำภาพถ่ายโฉนดไปตรวจสอบความถูกต้อง จำเลยที่ 2 ได้ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ตามระเบียบทุกประการแล้ว โจทก์รับซื้อฝากที่ดินในราคาสูงแต่หาได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอไม่ ไม่ตรวจสอบไปยังภูมิลำเนาของเจ้าของที่ดินตามที่ปรากฏในโฉนด กลับทำบันทึกยืนยันว่าในการทำนิติกรรมขอจดทะเบียนรายนี้ โจทก์ติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรงหากเกิดการผิดพลาดโจทก์ขอรับผิดชอบเอง จำเลยที่ 2 จึงไม่ส่งบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 1 ไปตรวจสอบ โฉนดที่ทำปลอมขึ้นมีลักษณะเหมือนกับโฉนดจริงทุกประการ สุดวิสัยที่จำเลยที่ 2 จะตรวจพบได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นละเมิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 590,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถ้าจำเลยที่ 2 ตรวจโฉนดที่ดินฉบับที่โจทก์รับซื้อฝากตามระเบียบปฏิบัติการจดทะเบียนนิติกรรมที่ดินตามที่กรมที่ดินจำเลยที่ 3 วางไว้ จำเลยที่ 2 จะทราบว่าเป็นโฉนดปลอม แต่จำเลยที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวถือว่าจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 เป็นกรมในรัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนในฐานะเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 3 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย

โจทก์เพียงแต่ใช้นางนิภาไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินว่า มีที่ดินตามโฉนดและมีภารติดพันหรือไม่ แม้โจทก์ได้ดูบัตรประจำตัวปลอมซึ่งจำเลยที่ 1 แสดงให้โจทก์ดูว่าจำเลยที่ 1 ชื่อนายประจักษ์ตรงตามที่ระบุไว้ในโฉนดปลอม โจทก์ก็ควรสืบสวนดูให้ดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่จะขายฝากจริงหรือไม่ซึ่งมีทางกระทำได้โดยมีที่อยู่ของเจ้าของที่ดินปรากฏอยู่ในหน้าโฉนดและควรปฏิบัติดังกล่าวด้วยเพราะโจทก์ไม่รู้จักจำเลยมาก่อนแต่โจทก์กลับให้คำรับรองว่าโจทก์ได้ติดต่อกับเจ้าของที่ดินโดยตรง หากเกิดความผิดพลาดเพราะผิดตัวเจ้าของที่ดิน โจทก์ขอรับผิดชอบตัวเอง ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนส่งเสริมให้จำเลยที่ 2 ประมาทนับว่าโจทก์ก็ประมาทเลินเล่อด้วยจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์สมควรรับผิดในจำนวนค่าเสียหายเป็นจำนวนหนึ่งในห้าส่วน

โจทก์รับซื้อฝากที่ดินไว้เป็นเงิน 512,500 บาทเท่านั้น ส่วนเงินอีก 77,400 บาท โจทก์หักไว้เป็นค่าผลประโยชน์ล่วงหน้าตามประเพณีการขายฝาก จึงเห็นว่าค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้รับเป็นเงิน 512,500 บาท มิใช่ 590,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดและกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดน้อยลง ศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 เฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังมีสิทธิได้รับการคำนวณหักค่าเสียหายที่โจทก์ต้องร่วมรับผิดอีกหนึ่งในห้าส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 512,500บาท โดยให้จำเลยที่ 1 รับผิดเต็มจำนวน ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ร่วมรับผิดเพียง410,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

Share