แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขายฝากที่ดินพิพาทไว้กับโจทก์ก่อนครบกำหนดไถ่โจทก์ทำหนังสือไว้ให้จำเลยมีใจความว่า ตนยินยอมให้ต่อสัญญาขายฝากและถ้าจำเลยมีเงินมาไถ่คืนก็ยินยอมให้ไถ่คืนได้หนังสือดังกล่าวไม่ใช่คำมั่นจะขายที่พิพาท แต่เป็นการขยายเวลาการขายฝากต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 496 จำเลยไม่มีสิทธิไถ่ที่พิพาทคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์แล้วไม่ได้ไถ่ถอนคืนภายในกำหนด ที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ จำเลยยังอยู่ในที่พิพาท โจทก์บอกกล่าวแล้วจำเลยไม่ออกทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้ขับไล่และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนชำระจนกว่าจะครบตามราคาขายฝากแล้วโจทก์ยอมให้จำเลยไถ่คืน และจำเลยได้ผ่อนชำระคืนให้แก่โจทก์ไปแล้ว 69,945 บาท จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ให้รับไถ่คืนโดยหักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากจำนวนที่ขายฝาก แต่ถ้าฟังว่าจำเลยไม่มีสิทธิไถ่คืนก็ให้คืนเงินนั้นแก่จำเลย
โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้งและสู้ว่าสัญญายอมให้ไถ่คืนนั้นแม้จะฟังว่ามีก็ขัดต่อมาตรา 496 บังคับไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ให้คำมั่นว่าจะขายที่พิพาทคืนให้จำเลย พิพากษาให้โจทก์รับไถ่คืน ส่วนข้อที่ว่าจำเลยได้ผ่อนชำระไปบ้างแล้วสืบไม่สม พิพากษาให้โจทก์รับไถ่ถอนตามราคาที่ขายฝาก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้หักเงินที่ตนชำระไปแล้วออกจากเงินจำนวนที่จะต้องไถ่คืน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำมั่นจะขายที่พิพาทคืนนั้นเป็นการขยายเวลาไถ่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 บังคับไม่ได้ พิพากษาแก้ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ระหว่างอายุขายฝากโจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนชำระสินไถ่และได้ทำหนังสือมีข้อความว่า “ข้าพเจ้า นางอาภรณ์ วโรทัย ยินยอมให้ต่อสัญญาขายฝากที่ดินตามหน้าโฉนดเลขซึ่งได้ขายฝากไว้ ถ้าหากนางยุดา เทพศิริ มีเงินมาถอนคืนข้าพเจ้ายอมให้ถอนได้ จึงลงลายมือชื่อไว้แล้ว” นั้น ได้ทำไว้ก่อนครบกำหนดเวลาไถ่เป็นการขยายกำหนดเวลาไถ่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 หาใช่เป็นคำมั่นว่าจะขายที่พิพาทคืนให้แก่จำเลยไม่จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะไถ่ที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืน ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้หักเงินจำนวน 69,945 บาท ที่ผ่อนชำระไปแล้วจากราคาที่ขายฝากนั้น เมื่อฟังว่าจำเลยไม่มีสิทธิไถ่แล้วก็ไม่มีทางที่จะหักให้ได้ ทั้งเงินที่จำเลยอ้างว่าผ่อนชำระและขอให้โจทก์คืนนั้น พยานจำเลยก็เบิกความลอย ๆ ว่าได้ผ่อนชำระให้ตามเอกสาร ล.1 ถึง ล.5 และเงินที่ผ่อนชำระนี้ยังรวมต้นเงินและดอกเบี้ยรายอื่นอยู่ด้วย แยกไม่ได้ว่ารายไหนผ่อนส่งหนี้รายใด จึงไม่อาจคำนวณเงินที่จำเลยผ่อนชำระสินไถ่ซึ่งจำเลยชอบที่จะได้รับคืนได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน