คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองจะต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง ซึ่งกำหนดเวลานี้ไม่ใช่อายุความถึงแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังนั้น แม้เดิมจำเลยจะให้การต่อสู้ในเรื่องอายุความไว้ แต่จำเลยก็ได้สละข้อต่อสู้เรื่องอายุความนี้เสียซึ่งมีผลเท่ากับจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ ศาลก็ยกขึ้น วินิจฉัยได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้ขับไล่ออกไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสามสำนวนให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยแต่ละสำนวนครอบครองมา โจทก์จำเลยได้แย่งสิทธิกันในที่พิพาท โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

ในวันชี้สองสถาน จำเลยทั้งสามสำนวนแถลงสละข้อต่อสู้เรื่องอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสามสำนวน

โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยสละข้อต่อสู้เรื่องอายุความแล้วศาลจะยกเอาอายุความขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ เห็นว่าการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองจะต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ซึ่งกำหนดเวลาฟ้องนี้ไม่ใช่อายุความ ถึงแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ก็ตามศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ ดังนั้น แม้จำเลยสละข้อต่อสู้เรื่องอายุความซึ่งมีผลเท่ากับจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏตามคำเบิกความของโจทก์ว่าจำเลยทุกคนได้บุกรุกที่ดินของโจทก์เป็นเวลา 3 ปี ก่อนโจทก์ฟ้องคดีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share