แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปีฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอม ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจะฎีกาว่าสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายอายุเกิน 13 ปีแล้วไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายอายุยังไม่เกิน13 ปีโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ทางพิจารณาปรากฏว่าผู้เสียหายยินยอมดังนี้ ศาลก็ลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องได้เพราะมาตรานี้บัญญัติว่าเด็กหญิงผู้ถูกกระทำชำเรานั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นความผิด จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงจำปี เฉลิมไพร ผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี โดยผู้เสียหายยินยอมให้จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าสภาพร่างกายของผู้เสียหายมีลักษณะเป็นสาว และผู้เสียหายเข้ามาเรียนมาเป็นเวลา 7 ปีก่อนเกิดเหตุ ทำให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายอายุเกินกว่า 13 ปี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฎีกาข้อนี้ของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย
จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม แต่ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่าผู้เสียหายยินยอม ต้องถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ซึ่งมาตรานี้ได้บัญญัติไว้ว่าเด็กหญิงผู้ถูกกระทำชำเรานั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้เช่นเดียวกัน จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน