แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้ค่าไม้โจทก์ โจทก์จำเลยจึงเอาหนี้ค่าไม้จำนวนนี้มาทำเป็นสัญญากู้ตามฟ้อง ย่อมผูกพันบังคับกันได้อย่างหนี้เงินกู้ และการที่โจทก์นำสืบว่า สัญญากู้รายนี้เกิดจากการซื้อขายไม้ซึ่งจำเลยค้างชำระราคาอยู่ จำเลยจึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ ดังนี้ เป็นการนำสืบให้เห็นความเป็นมาแห่งมูลหนี้ตามฟ้อง หาใช่นอกฟ้องไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ 400,000 บาทตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี และจะชำระคืนภายใน 4 ปี ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อไม้เป็นหนี้โจทก์ หนี้ค่าไม้ทำเป็นสัญญากู้ไว้จึงไม่ใช่เรื่องกู้เงินโจทก์ และหนี้ค่าไม้ขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและเรียกดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะต้นเงินตามสัญญากู้ ซึ่งจำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องเลยว่า จำเลยซื้อไม้ค้างชำระราคาให้โจทก์ แล้วทำสัญญากู้ตามฟ้องกับโจทก์ไว้ แต่โจทก์นำสืบว่ามูลหนี้เดิมตามสัญญากู้มาจากการซื้อขายไม้เป็นการนอกฟ้อง และข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง ทั้งโจทก์มิได้นำสืบด้วยว่าจำเลยได้รับเงินกู้ตามฟ้องไปจากโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าการกู้ยืมผู้กู้อาจนำหนี้อย่างอื่นมาแปลงเป็นหนี้เงินกู้ได้หาจำต้องรับเงินกันเสมอไปไม่จำเลยให้การรับแล้วว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าไม้โจทก์ โจทก์จำเลยจึงเอาหนี้ค่าไม้จำนวนนี้มาทำเป็นสัญญากู้ตามฟ้อง ย่อมผูกพันบังคับได้อย่างหนี้เงินกู้และการที่โจทก์นำสืบว่า สัญญากู้รายนี้เกิดจากการซื้อขายไม้ซึ่งจำเลยค้างชำระราคาอยู่ จำเลยจึงทำสัญญากู้ให้โจทก์ ดังนี้ เป็นการนำสืบให้เห็นความเป็นมาแห่งมูลหนี้ตามฟ้อง หาใช่นอกฟ้องไม่ เมื่อโจทก์นำสืบได้สมตามฟ้องแล้ว จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์
พิพากษายืน