คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนา จำเลยให้การว่าทำร้ายผู้ตายเพราะผู้ตายกับพวกเข้าปล้นบ้านจำเลย จำเลยไม่ได้กระทำผิด ดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความจริง แต่การนำสืบในกรณีเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีประจักษ์พยานมาเบิกความเสมอไป ถ้อยคำพยานและเหตุผลแวดล้อมอาจมีน้ำหนักพอให้วินิจฉัยได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดพร้าฟันนายสนถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบมีดพร้าของกลาง

จำเลยให้การว่าได้ทำร้ายผู้ตายเพราะผู้ตายกับพวกรวม 3 คนเข้าปล้นบ้านจำเลย จำเลยไม่ได้กระทำผิด

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้ประหารชีวิตจำเลย คำให้การชั้นสอบสวนชั้นศาลมีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 20 ปี ริบมีดพร้าของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยใช้มีดพร้าฟันผู้ตายถึงแก่ความตายบนเรือนของจำเลยจริง แต่จำเลยต่อสู้คดีว่าผู้ตายเป็นคนร้ายเข้าปล้นบ้านจำเลย จำเลยจึงได้ทำร้ายเอาภาระพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ว่ามีการกระทำโดยมิใช่ป้องกันจึงจะเอาผิดแก่จำเลยได้ แต่คดีนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นในขณะเกิดเหตุเลยคดีจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ฟันผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ปัญหามีว่าจำเลยได้ทำร้ายโดยป้องกัน อันกฎหมายถือว่าไม่เป็นความผิดหรือไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้รับว่าได้กระทำผิด ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้กล่าวหาที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่าการกระทำนั้นได้เป็นความผิดจริงแต่การนำสืบในกรณีอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยคำประจักษ์พยานมาเบิกความดังทำนองที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นมานั้นไม่ ถ้อยคำพยานและเหตุผลแวดล้อมก็อาจมีน้ำหนักพอให้วินิจฉัยได้ว่าเป็นการป้องกันหรือไม่ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยมิใช่เป็นการป้องกัน

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดให้บังคับคดีไปดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share