คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลผู้จะได้มาซึ่งที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งทำไว้ก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ต้องจดแจ้งสัญญานั้นไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 120 วัน นับแต่วันพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ เมื่อได้มีการซื้อขายไปตามสัญญานั้นแล้วจึงจะถือว่าผู้ซื้อมีสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ มิฉะนั้นจะมีผลให้ที่ดินตกเป็นของรัฐ ซึ่งผู้ยึดถือครอบครองอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เว้นแต่บุคคลนั้นจะอ้างความคุ้มครองจากสิทธิครอบครองของผู้โอนที่ดินนั้นแก่ตนในฐานะผู้รับโอน (เทียบฎีกาที่ 1748/2505)
ในกรณีผู้โอนดังกล่าวได้มาซึ่งที่ดินโดยได้รับอนุญาตให้จับจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 แต่ยังมิได้รับคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ใช้บังคับนั้น ผู้โอนต้องขอคำรับรองภายใน 180 วันนับจากวันสิ้นสุดแห่งการจับจองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือหากระยะเวลาดังกล่าวได้สิ้นสุดลงก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก็ให้ยื่นคำขอต่อนายอำเภอภายใน 180 วันนับแต่วันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ มิฉะนั้นจะถือว่าที่ดินนั้นเป็นอันปลอดจากการจับจองและตกเป็นของรัฐ อันมีผลให้ถือว่า ผู้นั้นเข้าครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ฉะนั้น การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้โอนกับจำเลยเมื่อปี 2501 โดยผู้โอนมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจึงใช้ยันกันได้ระหว่างกันเท่านั้น จะใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่อาจอ้างความคุ้มครองจากสิทธิของผู้โอนที่พิพาทแก่ตนดังกล่าวจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (เทียบฎีกาที่ 1061/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างที่ดินของรัฐและแผ้วถางป่าในที่หมู่ 7 และหมู่ 8 ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมารวม 2 แปลง แปลงที่ 1 เนื้อที่ 5 ไร่ แปลงที่ 2 เนื้อที่ 50 ไร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่อยู่ในเขตที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรประการในราชกิจจานุเบกษาให้แผ้วถางได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2483 มาตรา 54, 55, 72 ตรี และให้จำเลยออกไปจากที่

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ให้ปรับ 500 บาท

โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ว่าจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ให้ยกข้อหานี้ด้วย

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่มาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในข้อหาว่าจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิในที่ดินนี้ตามโจทก์ฎีกาหรือไม่ว่าข้ออ้างของจำเลยว่าซื้อที่พิพาทจากนายสำราญเมื่อปี 2496 และเข้าครอบครองแต่นั้นมาโดยนายสำราญมอบการครอบครองและสลักหลัง ส.ค.1 ให้นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะในปี 2496 ยังไม่มีการแจ้งการครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งการแจ้ง ส.ค.1 จะมีได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม2497 จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2498 เท่านั้น ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่าจำเลยเพิ่งซื้อที่พิพาท เมื่อปี 2501 หาใช่ปี 2496 ซึ่งเป็นปีที่นายสำราญเพิ่งขอจับจองตามหลักฐานที่ปรากฏใน ส.ค.1 ไม่

ถ้าหากจำเลยตกลงซื้อตั้งแต่ปี 2496 และตกลงชำระเงินในปี 2501ก็เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ซึ่งจำเลยจะต้องจดแจ้งสัญญานั้นต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามมาตรา 71 ภายใน 120 วันตามที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 12 บังคับไว้ มิฉะนั้นจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินซึ่งตกเป็นของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 เว้นแต่จำเลยจะได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 4 ในฐานะผู้รับโอน

แต่จำเลยซื้อหรือรับโอนที่ดินเมื่อปี 2501 อันเป็นเวลาที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว จำเลยจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 4 ดังกล่าว ก็ต้องพิสูจน์ว่านายสำราญมีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนวันใช้บังคับของกฎหมายดังกล่าว มิฉะนั้นต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐซึ่งผู้ใดเข้ายึดถือครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจะต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (คำพิพากษาฎีกาที่ 1748/2505) แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบแสดงว่าก่อนจำเลยซื้อที่พิพาท นายสำราญมิได้ทำประโยชน์ให้เกิดสิทธิครอบครองตามกฎหมายสำหรับการแจ้ง ส.ค.1 ไม่ทำให้ผู้แจ้งมีสิทธิครอบครองดังปรากฏตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5 วรรคท้าย อีกประการหนึ่งหากนายสำราญได้ที่พิพาทมาโดยขอจับจอง เมื่อปี 2496 ซึ่งเป็นเวลาระหว่างใช้บังคับพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479และยังมิได้รับคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 นี้ใช้บังคับ นายสำราญจะต้องขอคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้วภายใน 180 วันนับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาแห่งการจับจองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือภายใน 180 วันนับแต่วันใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มิฉะนั้นให้ถือว่าที่ดินนั้นปลอดจากการจับจองตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 7 เมื่อนายสำราญมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวก็จะโอนที่ดินไปไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดกตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 ฉะนั้นการซื้อขายระหว่างนายสำราญกับจำเลยเมื่อปี 2501 จึงใช้ยันกันได้แต่เฉพาะเอกชนด้วยกันเองเท่านั้น จะใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าที่ดินตกเป็นของรัฐ จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share