แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายอำเภอกับจำเลยอีก 4 คนซึ่งเป็นปลัดอำเภอและตำรวจได้บังอาจกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทงโดยจำเลยที่ 1 ได้ใช้ให้จำเลยอีก 4 คนนั้นกระทำละเมิดต่อโจทก์กล่าวคือใช้ให้จำเลยที่ 2 ไปเอาเรือนาคของกรมชลประทานซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ขู่จะยิงโจทก์ ปลุกปล้ำจับโจทก์ ใช้ปืนตีจนบาดเจ็บ และใส่กุญแจมือคุมตัวฝ่าฝูงชนให้อับอาย ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจใช้ให้จำเลยอื่นไปเอาเรือนาคและใช้ให้กระทำละเมิดดังกล่าวต่อโจทก์ จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นซึ่งโจทก์จะฟ้องจำเลยฐานละเมิดได้ศาลย่อมไม่รับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 10 เดือนมิถุนายนพุทธศักราช 2513
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นนายอำเภอชุมแสง จำเลยที่ 2 รับราชการเป็นปลัดอำเภอตรีอำเภอชุมแสง จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 รับราชการเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอชุมแสง เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2511 เวลากลางวันจำเลยทั้ง 5 ได้บังอาจกระทำผิดกฎหมายโดยเจตนาหลายบทหลายกระทง โดยจำเลยที่ 1 ได้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์กล่าวคือจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 มาเอาเรือนาคซึ่งเป็นของกรมชลประทาน แต่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โดยจำเลยที่ 3 ได้บังอาจยกปืนยาวขึ้นประทับไหล่ตั้งท่ายิง และหันปากกระบอกปืนจ่อจ้องจะยิงมายังโจทก์ พร้อมกับพูดขู่โจทก์ให้เกิดความกลัวว่า “ยิงนะ ๆ” จำเลยที่ 4 ได้เข้ารวบแขนโจทก์ไพล่หลัง จำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 5 ช่วยกันปลุกปล้ำจับโจทก์ จำเลยที่ 3 ได้ใช้ปืนตีโจทก์ถูกที่คิ้วขวามีบาดแผลป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน ปรากฏตามใบชันสูตรของแพทย์ แล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันใส่กุญแจมือโจทก์ไพล่หลัง และได้ร่วมกันทำการควบคุมตัวโจทก์ฝ่าฝูงชนประมาณ 200 คน ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดเสรีภาพ และได้รับความอับอายในท่ามกลางชุมนุมชน เหตุเกิดที่ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ขอให้จำเลยทั้ง 5 ร่วมกันรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งการละเมิดต่อโจทก์ รวมเป็นเงิน 218,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง และให้ร่วมกันเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทน
ศาลชั้นต้นสั่งว่า “บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 เอาเรือซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ไม่มีเหตุแสดงว่าใช้ให้เขาทำละเมิดผิดกฎหมายอย่างใด ไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ จึงไม่รับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ให้รับฟ้องคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึง 5 ออกหมายส่งสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 แก้”
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การฟ้องคดีแพ่งนั้นจะต้องมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือเป็นเรื่องที่จะใช้สิทธิทางศาลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ซึ่งโจทก์ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้แต่ลำพังเพียงเท่านี้ ยังหาเป็นการเพียงพอที่ศาลชั้นต้นจะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาได้ทันที เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172(2) ได้บัญญัติไว้ว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ซึ่งในคดีนี้ตามฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใดนอกจากจะบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งได้ความอย่างมากแต่เพียงว่าให้ไปเอาเรือนาคของกรมชลประทาน ซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์เท่านั้น ไม่ได้ความตามฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ และช่วยกันปลุกปล้ำจับโจทก์ใส่กุญแจมือฟ้องของโจทก์จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำละเมิดกับจำเลยอื่นจึงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ได้ครอบครองเรือนาคเพราะจำเลยที่ 1 ได้ใช้ให้จำเลยที่ 2 มาเอาเรือนาค จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้เช่นนั้น จึงเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 กระทำโดย “บังอาจ และ ละเมิด” ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลการล่วงเกินต่อสิทธิของโจทก์และเมื่อได้พิจารณาคำฟ้องเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ถึง 5 ซึ่งถูกจำเลยที่ 1 ใช้โดยละเอียดแล้ว ทำให้เห็นชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว
ศาลฎีกาพิจารณาคำฟ้องของโจทก์รวมกันทั้งฉบับแล้ว คงได้ความแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 มาเอาเรือนาคของกรมชลประทาน ซึ่งโจทก์ได้ครอบครองอยู่ ไม่มีข้อความอื่นใดว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจใช้ให้จำเลยอื่นมาเอาเรือนาคไปโดยเป็นการไม่ชอบ และไม่มีข้อความใดว่าจำเลยที่ 1จงใจใช้ให้จำเลยที่ 2 ถึง 5 ไปกระทำละเมิดต่อโจทก์มาก่อน การละเมิดที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องล้วนแต่เป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึง 5 ที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลังทั้งสิ้น คำฟ้องโจทก์จึงไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจใช้ให้จำเลยอื่นมาเอาเรือนาค และใช้ให้จำเลยอื่นพูดขู่เข็ญ จะใช้ปืนยิงให้โจทก์เกิดความกลัว หรือให้เอาปืนทุบตีโจทก์หรือใช้ให้จำเลยอื่นช่วยกันจับโจทก์ใส่กุญแจมือ และพาโจทก์ฝ่าฝูงชนให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขาดเสรีภาพและได้รับความอับอายขายหน้าแต่อย่างใดเลย จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดในคดีนี้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมฎีกาในชั้นนี้ให้เป็นพับ